ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (1 ธ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ทะยานสูงขึ้น แรงหนุนจากความหวังว่า จะมีวัคซีนโควิด-19 ออกมาให้ใช้ได้ก่อนสิ้นปีนี้ และข้อมูลกิจกรรมโรงงาน ที่แข็งแกร่งเกินคาดจากจีน ทำให้มีความหวังถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 29,974.59 จุด พุ่งขึ้น 335.95 จุด หรือ 1.13% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 3,662.09 จุด ปรับขึ้น 40.46 จุด หรือ 1.12% และดัชนีแนสแด็กที่ 12,286.48 จุด บวก 87.75 จุด หรือ 0.72%
ตลาดได้แรงหนุนจากความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 รวมทั้งความชัดเจนของทิศทางการเมืองในสหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เริ่มกระบวนการถ่ายโอนอำนาจให้แก่นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ
ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และไบโอเอ็นเทค ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี แถลงว่า ทางบริษัทได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานยาแห่งยุโรป (EMA) ในวันนี้ เพื่อขออนุมัติการจำหน่ายวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของทางบริษัทเป็นกรณีฉุกเฉิน หาก EMA ให้การอนุมัติ ก็จะส่งผลให้ไฟเซอร์สามารถใช้วัคซีนดังกล่าวในยุโรปก่อนปลายปีนี้
ทั้งนี้ EMA จะพิจารณาให้การอนุมัติเป็นกรณีฉุกเฉิน (CMA) ให้แก่ยาหรือวัคซีนสำหรับผู้ป่วยที่ยังไม่มีการค้นพบยารักษามาก่อน โดย CMA จะมีการผ่อนปรนด้านข้อมูลการทดสอบเมื่อเทียบกับกระบวนการอนุมัติทั่วไป
อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากบริษัทยาจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ายาหรือวัคซีนดังกล่าวมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และบริษัทจะต้องพร้อมให้ข้อมูลการทดสอบทางคลินิกอย่างครบถ้วนในอนาคต
ตลาดยังได้แรงหนุน จากการเปิดเผยข้อมูลกิจกรรมโรงงาน เดือนพฤศจิกายนของจีน ที่ขยายตัวเร็วสุดในช่วง 3 ปี โดยดัชนีผู้จัดการจัดซื้อ (PMI) ฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 52.1 จากระดับ 51.4 ในเดือนตุลาคม ดีสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 เป็นต้นมา
วันนี้ นักลงทุน ยังจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ซึ่งจะเข้าทำการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้เกี่ยวกับการดำเนินการของเฟดและรัฐบาลสหรัฐในการเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
เว็บไซต์ของเฟดได้เผยแพร่ร่างแถลงการณ์ของนายพาวเวล ซึ่งเตรียมไว้สำหรับการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้ โดยระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐ และทั่วโลก จะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
“เมื่อพูดถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น เรามองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน และแนวโน้มเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการจัดการกับการแพร่ระบาด”
“จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐและต่างประเทศนั้น ถือเป็นสิ่งที่น่ากังวล และอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ โดยการฟื้นตัวอย่างเต็มรูปแบบของเศรษฐกิจยังไม่มีแนวโน้มเกิดขึ้น จนกว่าประชาชนจะมีความมั่นใจในการเข้าร่วมกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง”
นายพาวเวลยังกล่าวด้วยว่า “แม้มีข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับวัคซีนต้านโควิด-19 ในระยะกลางนี้ แต่ก็ยังมีความท้าทายและความไม่แน่นอนอย่างมีนัยสำคัญในขณะนี้ ซึ่งรวมถึงระยะเวลา การผลิต และการจำหน่ายจ่ายแจก นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของวัคซีนของแต่ละบริษัทก็ยังแตกต่างกันด้วย”
นอกจากนี้ นายพาวเวลยังกล่าวถึงความสำคัญของโครงการเงินกู้เพื่อเยียวยาผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งโครงการดังกล่าวจะหมดอายุในวันที่ 31 ธ.ค.นี้
“โครงการเหล่านี้มีความสำคัญในฐานะเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนตลาดสินเชื่อ และยังช่วยฟื้นฟูการไหลเวียนของสินเชื่อจากบรรดาผู้ปล่อยกู้เอกชนผ่านช่องทางปกติ” นายพาวเวลกล่าว
อย่างไรก็ดี นายมนูชินได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่า จะไม่มีการต่ออายุโครงการเงินกู้ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ แม้เจ้าหน้าที่เฟดได้เรียกร้องให้มีการขยายโครงการปล่อยกู้ดังกล่าวก็ตาม
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- โควิดวันนี้ 1 ธ.ค. ทั่วโลกติดเชื้อ 63.5 ล้าน ‘เมียนมา’ สกัดไม่อยู่ พุ่งเกิน 90,000 คน
- ‘วัคซีนโควิด’ คืบหน้า หนุน ‘ดาวโจนส์’ พุ่งกว่า 200 จุด
- ‘ดาวโจนส์’ พุ่งกว่า 300 จุด ขานรับข่าว ‘ไบเดน’ ถ่ายโอนอำนาจ