World News

‘หุ้นเอเชีย’ ร่วง วิตก ‘ทรัมป์’ ระงับเจรจามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่

ตลาดหุ้นเอเชีย ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (7 ต.ค.) ปรับตัวลดลงเป็นส่วนใหญ่ ตามทิศทาง “ดาวโจนส์” เมื่อวานนี้ (6 ต.ค.) หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” สั่ง “ทำเนียบขาว” ระงับการเจรจา เกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ กับพรรคเดโมแครต ไปจนถึงหลังวันเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พฤศจิกายน ดับความหวังนักลงทุน ที่เชื่อมั่นว่า ทั้ง 2 ฝ่าย จะสามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อออกมาตรการดังกล่าวในเร็วๆ นี้

ดัชนีนิกเคอิ ของญี่ปุ่น เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 23,395.31 จุด ลดลง 38.42 จุด หรือ 0.16% ดัชนีฮั่งเส็ง ของฮ่องกงที่ 24,125.41 จุด ขยับขึ้น 144.76 จุด หรือ 0.60% และดัชนีสเตรทไทมส์ ของสิงคโปร์ ที่ 2,526.57 จุด ลบ 2.69 จุด หรือ 0.11% ส่วนตลาดหุ้นจีน ยังปิดทำการอยู่ จากวันหยุดยาว เนื่องในวันชาติ

Stocks ๒๐๑๐๐๗ 0

ทางดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ของสหรัฐ ปิดซื้อขายที่ 27,772.76 จุด ลดลง 375.88 จุด หรือ 1.34% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 11,154.60 จุด ลดลง 177.89 จุด หรือ 1.57% ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,360.95 จุด ลดลง 47.68 จุด หรือ 1.40%

ตลาดหุ้นร่วงลง หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ทวีตข้อความว่า

“ผมได้สั่งการให้คณะบริหารของผม ระงับการเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ กับพรรคเดโมแครต ไปจนถึงหลังวันเลือกตั้ง ซึ่งเมื่อผมชนะการเลือกตั้ง เราก็จะผ่านร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่ การให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันที่ทำงานหนัก และภาคธุรกิจขนาดเล็ก”

การตัดสินใจของทรัมป์ ถือเป็นการดับความหวังของนักลงทุน และยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ พยายามเดินหน้าเจรจาต่อรองกัน เกี่ยวกับวงเงินในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ เพื่อเยียวยาประชาชน และภาคธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

โดยพรรคเดโมแครตเสนอวงเงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่คณะบริหารของทำเนียบขาวเสนอวงเงิน 1.6 ล้านล้านดอลลาร์

การตัดสินใจดังกล่าวของทรัมป์ ยังเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาเรียกร้องให้สภาคองเกรส เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากสหรัฐยังจำเป็นต้องใช้มาตรการทางการเงิน และการคลัง เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น มิฉะนั้นส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo