การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้เกิดการสูญเสียงานเป็นประวัติการณ์ กำลังกลายมาเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ ต่อการเปิดกว้างรับแรงงานต่างชาติ ปัญหาที่แท้จริงแล้ว สร้างความไม่พอใจมาตั้งแต่ก่อนที่โควิดจะระบาด และยิ่งฝังรากลึกมากขึ้น ในช่วงเวลาที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ กำลังตกอยู่ในภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างหนัก
ท่ามกลางแรงกดดันในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสร้างงาน เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของสิงคโปร์ เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ในการออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อหนุนการจ้างงานภายในประเทศ ควบคู่ไปกับการเปิดรับแรงงานต่างชาติ ที่มีทักษะที่จำเป็น ต่อการแข่งขันในอุตสาหกรรมขั้นสูงต่างๆ
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 การจ้างงานโดยรวมในสิงคโปร์ลดลง 129,100 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2.8% ในเดือนมิถุนายน การเกษียณอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 11,350 คน ในช่วงครึ่งปีแรก โดยที่สายการบินแห่งชาติ อย่าง สิงคโปร์ แอร์ไลน์ เพิ่งประกาศแผนการลดตำแหน่งงาน 4,300 ตำแหน่งหรือประมาณ 20% ของพนักงาน
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง ได้ย้ำต่อรัฐสภาว่า ในขณะที่รัฐบาลของเขาจะ“ อยู่เคียงข้างชาวสิงคโปร์เสมอ” แต่สิงคโปร์จะต้องต้านรับแรงกดดัน ที่หันกลับเข้ามาในประเทศ เนื่องจากมีการปรับนโยบาย เพื่อปกป้องงานของชาวสิงคโปร์ ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ในขณะนี้ พรรคกิจประชา (PAP) พรรครัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งชนะการเลือกตั้งครั้งใหม่ เมื่อในเดือนกรกฎาคม ด้วยการให้คำมั่นสัญญาว่าจะให้ความสำคัญกับการสร้างงานเป็นอันดับแรกนั้น ต้องหาทางรับมือกับความไม่พอใจที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของแรงงาน ควบคู่ไปกับการไม่ทำให้นายจ้างมีภาระเพิ่ม หรือลดจำนวนแรงงานต่างชาติและการลงทุนที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศ ในระยะยาว
“ชาวสิงคโปร์จำนวนมาก กำลังกังวล และกดดัน เกี่ยวกับงานของพวกเขา เห็นได้ชัดว่า พวกเขามีความรู้สึกว่า ชาวต่างชาติกำลังเข้ามาแย่งงานของพวกเขา เราต้องระมัดระวัง ที่จะไม่ทำให้เกิดความรู้สึกผิดๆ ที่ว่า ตอนนี้เรากำลังจะปิดประเทศ และไม่ต้อนรับแรงงานต่างชาติอีกต่อไป เพราะชื่อเสียงเช่นนี้ จะสร้างความเสียหายให้กับเราอย่างมาก” นายกรัฐมนตรี ลี เซียง ลุง ระบุ
ที่ผ่านมา ความสำเร็จของสิงคโปร์ ในฐานะศูนย์กลางธุรกิจระดับโลก เป็นผลมาจากการเปิดประเทศ รับกระแสเงินทุน และแรงงานที่หลั่งไหลเข้ามา กระบวนการที่ต้องกลับมาตกอยู่ภายใต้ความตึงเครียดอย่างเหนือความคาดหมาย ในยุคโควิด-19
การระบาดของเชื้อไวรัสนี้ ได้นำให้ประเด็นเรื่องแรงงานต่างชาติ ที่ได้รับค่าแรงต่ำ และมักถูกจ้างทำงานก่อสร้าง กลายมาเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจ หลังจากที่คนกลุ่มนี้ กลายมาเป็นผู้ติดเชื้อหลักในประเทศ คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 95% ของยอดติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมดในสิงคโปร์ที่ 57,500 คน
ในอีกด้านหนึ่งนั้น ประเทศที่เกี่ยวข้องกับการย้ายถิ่น และแรงงานมีฝีมือชาวต่างชาติ ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในสิงคโปร์ ก็ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างหนัก และจุดชนวนให้เกิดความรู้สึกกีดกันขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อกลุ่มแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่มาจากอินเดีย ซึ่งนักวิจารณ์ และชาวเน็ตบางราย มองคนกลุ่มนี้ว่า มีจำนวนมากเกินไปในภาคธุรกิจที่จ้างงานแพง อย่างด้าน ไอที และธนาคาร
ลาวันยา คาธิราเวลุ นักสังคมวิทยา จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง แสดงความเห็นว่า ในช่วงเวลาที่กำลังเจอกับโรคระบาดเช่นนี้ ทัศนคติที่ชาวสิงคโปร์จำนวนหนึ่ง มีต่อแรงงานอพยพที่เป็นชนชั้นกลาง คล้ายคลึงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั่วโลก และมีลักษณะของการกลัวชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นในหลายกรณี มีการมองแรงงานอพยพว่าเข้ามาแย่งงาน และทรัพยากรต่างๆ ที่กำลังหาได้ยาก จากพลเมืองของประเทศ
ข้อมูลจากกระทรวงทรัพยากรมนุษย์ ของสิงคโปร์ แสดงให้เห็นว่า ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ สิงคโปร์มีอัตราการจ้างงานชาวต่างชาติลดลง 5.7% เมื่อเทียบกับการจ้างงานในท้องถิ่นที่ลดลง 2.7% ตอกย้ำให้เห็นถึงนโยบายของรัฐบาล ที่ให้ความสำคัญกับการรักษาตำแหน่งงานของชาวสิงคโปร์เป็นอันดับแรก
ในช่วงเวลาดังกล่าว สิงคโปร์มีการจ้างงานโดยรวมหดตัวลง 3.7% มากสุดเป็นประวัติการณ์
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- จีนจ่อขึ้นแท่น ‘ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า’ ใหญ่สุดอีกครั้งสิ้นปีนี้
- จีนเปิดรับต่างชาติ ถือใบอนุญาตพำนัก 3 แบบ เข้าประเทศ 28 ก.ย.นี้
- พิษโควิด! ‘ร้านอาหารสหรัฐ’ ปิดตัว 3.2 หมื่นแห่ง โดย 60% ปิดกิจการถาวร