ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายยช่วงเช้าวันนี้ (13 ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ทะยานสูงขึ้น แรงหนุนจากสัญญาณความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 และการเริ่มต้นฤดูรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ที่เป็ปซี่ อิงค์ มีรายได้ที่แข็งแกร่งเกินคาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 26,470.75 จุด ปรับขึ้น 395.45 จุด หรือ 1.52% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 3,226.05 จุด บวก 41.01 จุด หรือ 1.29% และดัชนีแนสแด็กที่ 10,802.13 จุด เพิ่มขึ้น 184.69 จุด หรือ 1.74%
ไฟเซอร์ อิงค์ บริษัทยารายใหญ่สุดของสหรัฐ และไบโอเอ็นเทค ผู้ผลิตยาเยอรมนี แถลงว่า ทั้งสองบริษัทได้รับสถานะ “fast track” จากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (เอฟดีเอ) ในการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะทำให้ทางบริษัทได้รับการผ่อนคลายกฎระเบียบจากเอฟดีเอ และส่งผลให้การพัฒนาวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น
ขณะนี้ วัคซีน BNT162b1 และ BNT162b2 ถือเป็นวัคซีน 2 ตัวที่มีความคืบหน้ามากที่สุดของไฟเซอร์ และไบโอเอ็นเทค จากที่กำลังพัฒนาทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน ซึ่งบริษัทยาทั้ง 2 ราย ระบุว่า หากวัคซีนดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากเอฟดีเอ บริษัทจะสามารถผลิตวัคซีนจำนวน 100 ล้านโดสได้ภายในสิ้นปีนี้ และมากกว่า 1,200 ล้านโดส ภายในสิ้นปีหน้า
ไฟเซอร์ และไบโอเอ็นเทค ยังเตรียมทำการทดลองกับอาสาสมัครจำนวน 30,000 รายภายในเดือนนี้ หากได้รับการอนุมัติ
ก่อนหน้านี้ บริษัทกีเลีย กิเลียด ไซแอนซ์ อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาของสหรัฐ เปิดเผยผลการทดลอง ที่ระบุว่า ยาเรมดิซีเวียร์ สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ถึง 62% เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยวิธีมาตรฐาน
ยาเรมดิซีเวียร์ ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ โดยรัฐบาลสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และอินเดีย ต่างก็ให้การอนุมัติการใช้ยาตัวนี้ ในการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง
ตลาดยังได้แรงหนุน จากการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ของเป๊ปซี่ โค ซึ่งมีรายได้่ที่ 15,950 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 15,380 ล้านดอลลาร์ จากการที่ผู้บริโภคแห่ซื้อเครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยว เนื่องจากต้องใช้เวลาอยู่ในบ้านมากขึ้น ตามมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ โดยธนาคารขนาดใหญ่จะเริ่มรายงานตัวเลขผลกำไรในวันพรุ่งนี้ (14 ก.ค.)
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทจดทะเบียนจะรายงานผลประกอบการร่วงลง 44% ในไตรมาส 2 ซึ่งจะเป็นการดิ่งลงมากที่สุดเมื่อเทียบรายไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2551
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- โควิดทั่วโลกระบาดรุนแรง! กนง.คาดเศรษฐกิจมีแนวโน้มหดตัวมากกว่าที่คาด
- เศรษฐกิจสหรัฐย่ำแย่หนัก ‘โกลด์แมน แซคส์’ ปรับคาดการณ์ทั้งปีหดตัว 4.6%
- ผู้เชี่ยวชาญแดนมังกรชี้ ‘เศรษฐกิจจีน’ เริ่มขยายตัวในไตรมาส 2