“อเมริกา” ออกคำสั่งระงับออก “วีซ่า” สำหรับแรงงานอพยพชั่วคราวถึงสิ้นปี 63 “ทรัมป์” อ้างเป็นภัยต่อการจ้างงาน ช่วงเศรษฐกิจบอบช้ำ
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในคำสั่งผู้บริหารเพื่อระงับการออกวีซ่าจ้างงานบางประเภท โดยมีผลจนถึงสิ้นปี 2563 อันรวมถึง H-1B ซึ่งเป็นวีซ่าสำหรับแรงงานทั่วไปและแรงงานทักษะสูงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
“แรงงานชั่วคราวมักเดินทางมาพร้อมกับคู่สมรสและบุตร พวกเขาหลายคนยังเข้ามาเป็นคู่แข่งกับแรงงานอเมริกันด้วย ซึ่งหากอยู่ในสถานการณ์ปกติ โปรแกรมแรงงานชั่วคราวที่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ” คำสั่งระบุดังนี้ “แต่ในสถานการณ์ไม่ปกติที่เกิดเศรษฐกิจหดตัวอันเป็นผลมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 เช่นนี้ โปรแกรมวีซ่าชั่วคราวที่อนุมัติการจ้างงานลักษณะนี้ จึงกลายเป็นภัยต่อการจ้างงานของชาวอเมริกัน”
คำสั่งดังกล่าวยังครอบคลุมการ ระงับวีซ่า H-2B สำหรับแรงงานระยะสั้นตามฤดูกาล, วีซ่า H-4 สำหรับคู่สมรสของผู้ถือวีซ่า H-1B, วีซ่า L-1 สำหรับผู้บริหารที่ย้ายมาทำงานในสหรัฐ โดยนายจ้างคนเดิม และวีซ่า J-1 สำหรับนักวิจัย นักวิชาการ และผู้อยู่ในหมวดหมู่พิเศษอื่นๆ
คำสั่งใหม่นี้จะไม่มีผลต่อผู้ถือวีซ่าที่อยู่ในสหรัฐ อยู่แล้ว หรือผู้อยู่นอกสหรัฐฯ ที่ได้รับการออกวีซ่าอย่างถูกต้องแล้ว
สภาตรวจคนเข้าเมืองอเมริกันระบุว่า ในแต่ละปี จะมีผู้ได้รับวีซ่า J-1 ประมาณ 300,000 คนที่เดินทางมายังสหรัฐ
วารสารวอลล์สตรีตรายงานข้อมูลจากคณะบริหารของทรัมป์ว่า ข้อจำกัดใหม่จะป้องกันไม่ให้ผู้คนประมาณ 525,000 คนเข้ามายังสหรัฐ โดยมีผลตั้งแต่ช่วงนี้ถึงสิ้นปี รวมถึงผู้ถือกรีนการ์ด 170,000 คนที่ถูกห้ามไม่ให้เดินทางเข้ามาในสหรัฐ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม คณะบริหารของทรัมป์จะให้การยกเว้นสำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพที่เน้นด้านการรักษาและวิจัยโรคโควิด-19 เช่นเดียวกับผู้ที่ทำงานในห่วงโซ่อาหาร รวมถึงอาหารทะเลและบรรจุภัณฑ์อาหาร
ผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและธุรกิจอื่นๆ ในสหรัฐฯ หลายรายได้ออกมาเตือนว่าการดำเนินการครั้งนี้จะทำให้ความสามารถของบริษัทในการสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถสูงเข้าสู่สหรัฐลดลง และทำให้พวกเขาสามารถดำเนินงานในต่างประเทศได้น้อยลงด้วย
“การประกาศในวันนี้เป็นความพยายามที่เคร่งครัดและเหมารวมเกินไปในการจำกัดคนเข้าเมืองตามกฎหมาย เป็นการปิดป้าย ‘ไม่ต้อนรับ‘ สำหรับวิศวกร ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญด้านไอที แพทย์ พยาบาล และคนงานอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ประเทศของเราล้าหลัง การเปลี่ยนแปลงระบบตรวจคนเข้าเมืองของเราเช่นนี้ จะผลักดันการลงทุนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจนอกประเทศ และทำให้สหรัฐฯ มีอัตราการเติบโตที่ช้าลงและการสร้างตำแหน่งงานใหม่ๆ ที่ลดลง” โทมัส โดโนฮิว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสภาหอการค้าแห่งสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์
“ธุรกิจอเมริกันที่พึ่งพาความช่วยเหลือจากโปรแกรมวีซ่าเหล่านี้ ไม่ควรถูกบังคับให้ปิดโดยไม่ผ่านการพิจารณาอย่างละเอียด” วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน 9 คนเขียนข้อความเช่นนี้ในจดหมายฉบับลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ที่ส่งถึงทรัมป์ว่า “แรงงานต่างชาติมีความจำเป็นในการกระตุ้นธุรกิจอเมริกัน”
ผลสำรวจล่าสุดที่จัดทำโดยศูนย์วิจัยพิวยังระบุว่า ชาวอเมริกันมากถึง 64% เชื่อว่าผู้อพยพส่วนใหญ่เข้ามารับงานที่คนอเมริกันไม่ต้องการทำ
คำสั่งที่ออกมาในวันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 นี้ เป็นความพยายามครั้งล่าสุดของฝ่ายบริหารของทรัมป์ในการสนับสนุนกลุ่มที่มีความคิดหนักแน่นเกี่ยวกับแรงงานอพยพ ซึ่งเป็นฐานคะแนนเสียงสำคัญของประธานาธิบดีที่โต้แย้งว่าแรงงานอเมริกันควรได้รับการให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้
ข้อจำกัดใหม่ซึ่งจะมีผลในวันที่ 24 มิถุนายน 2563 ทำให้คำสั่งห้ามแรงงานชั่วคราวเข้าประเทศที่คณะบริหารทรัมป์ประกาศตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ขยายผลออกไปจนถึงสิ้นปี โดยคำสั่งดังกล่าวได้กีดกันสมาชิกของบางครอบครัวในสหรัฐไม่ให้ได้พบหน้า และลดจำนวนการรับแรงงานทักษะสูงเข้าประเทศ
ที่มาสำนักข่าวซินหัว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘อเมริกา’ จำกัดวีซ่า ‘ชาวลาว’ ตอบโต้ไม่รับอาชญากรกลับประเทศ
- ‘แอปเปิล’ เตรียมปิด 11 สาขาในสหรัฐอีกครั้ง หวั่นโควิดระบาดรอบสอง