ตลาดหุ้นเอเชีย ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (22 พ.ค.) เดินสู่ขาลง ภายใต้การนำของตลาดฮ่องกง ที่ดิ่งลงไปเกือบ 4% ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างจีน กับสหรัฐ ทำให้นักลงทุนหนีความเสี่ยงไม่เข้าตลาด
ดัชนีนิกเคอิ ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ของญี่ปุ่น เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 20,476.91 จุด ลดลง 75.40 จุด หรือ 0.37% ดัชนัฮั่งเส็งของฮ่องกงที่ 23,401.52 จุด ดิ่งลง 878.51 จุด หรือ 3.62% ดัชนีคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้ ของจีนที่ 2,840.63 จุด ปรับลงมา 27.30 จุด หรือ 0.95% และดัชนีสเตรทไทมส์ ของสิงคโปร์ที่ 2,516.49 จุด ร่วงลง 38.85 จุด หรือ 1.52%
ทางด้านดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ของสหรัฐ ปิดซื้อขายเมื่อวานนี้ (21 พ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นที่ 24,474.12 จุด ลดลง 101.78 จุด หรือ 0.41% ดัชนีแนสแด็กปิดที่ 9,284.88 จุด ลดลง 90.90 จุด หรือ 0.97% และดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 2,948.51 จุด ลดลง 23.10 จุด หรือ 0.78%
นักลงทุนวิตกว่า ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐ อาจจะนำไปสู่การทำสงครามการค้ารอบใหม่ หลังจากวุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกฎหมายซึ่งอาจทำให้บริษัทสัญชาติจีน ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐถูกถอดออกจากตลาด
ร่างกฎหมายดังกล่าว ยังอาจทำให้บริษัทจีนจำนวนมากไม่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ หรือระดมเงินทุนจากนักลงทุนชาวอเมริกันได้ในอนาคต
นอกจากนี้ การที่สหรัฐใช้วาทกรรมทางการเมืองโจมตีจีนนั้น ยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ โดยล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าสหรัฐจะตอบโต้จีนอย่างรุนแรง หากจีนออกกฎหมายความมั่นคงในฮ่องกง เพื่อจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง
ขณะที่นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ก็โจมตีจีนว่า เงินจำนวน 2,000 ล้านดอลลาร์ ที่จีนให้การสนับสนุนต่อองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังจากสหรัฐระงับการให้เงินสนับสนุนนั้น เทียบกันไม่ได้กับหลายแสนชีวิตที่ต้องสูญเสียไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว
