นักลงทุนเทขายอย่างหนัก ทำมูลค่าตลาดหุ้นจีนหายไปถึง 393,000 ล้านดอลลาร์ในวันนี้ (3 ก.พ.) พร้อมเทขายเงินหยวน และทิ้งโภคภัณฑ์ เพราะความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทำนักลงทุน “แพนิค” (panic)
ในการเปิดซื้อขายวันแรก หลังจากที่หยุดยาวเนื่องในเทศกาลตรุษจีน และรัฐบาลจีนสั่งขยายวันหยุดเพิ่มเติมนั้น ดัชนีคอมโพสิต ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ดิ่งลงถึง 229.92 จุด หรือ 7.72% มาอยู่ที่ 2,746.61 จุด ถือเป็นการร่วงลงในวันเดียวครั้งใหญ่สุดในรอบกว่า 4 ปี และทำให้ตลาดมีมูลค่าหายไปมากถึง 393,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 12 ล้านล้านบาท
ขณะที่เงินหยวนอ่อนค่าหนัก หลุดเส้น 7 หยวนต่อดอลลาร์ และสินค้าโภคภัณฑ์ที่ซื้อขายในตลาดเซี่ยงไฮ้ ไล่ตั้งแต่น้ำมันปาล์ม ไปจนถึงทองแดง ต่างราคาดิ่งลงจนถึงเส้นจำกัดของการร่วงลงใน 1 วัน
แรงเทขายเกิดขึ้น แม้ธนาคารกลางจีนจะดำเนินการอัดฉีดเงินสดเข้าสู่ระบบการเงิน ครั้งใหญ่สุดนับแต่ปี 2547 เป็นต้น และดูเหมือนเจ้าหน้าที่คุมกฎระเบียบจะเข้าแทรกแซง เพื่อควบคุมการทำช็อตเซลลิ่ง ทั้งยังขอความร่วมมือจากบรรดาผู้จัดการกองทุน ไม่ให้ขายหุ้น
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สร้างความตื่นตระหนก เพราะแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังไม่มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับไวรัสชนิดนี้มากเท่าใดนัก ซึ่งการตอบสนองต่อการระบาดของไวรัสด้วยความเข้มงวดอย่างมาก มีแนวโน้มที่จะฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ไอริส ผัง นักเศรษฐศาสตร์จีนแผ่นดินใหญ่ จากไอเอ็นเอ แสดงความเห็นว่า สิ่งที่ขึ้นกับตลาดจีนในวันนี้ อาจจะดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง
“ยังไม่มีความชัดเจนเลยว่า คนงานตามโรงงานต่างๆ จะกลับมาทำงานไหม หรือจะกลับมามากน้อยเท่าใด ทั้งเรายังไม่เห็นผลประกอบการของบริษัท เพราะการระบาดของเชื้อไวรัสอาจทำให้ร้านอาหาร และร้านค้าปลีกต่างๆ ทำยอดขายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ”
วันนี้ ยังมีหุ้นมากกว่า 2,500 ตัว ร่วงลงจนถึงเส้นจำกัดของขาลงในแต่ละวันที่ 10% ซึ่งธนาคารกลางจีน ที่อัดฉีดเงินเข้าตลาดการเงินในวันนี้ถึง 1.2 ล้านล้านหยวน ระบุว่า การร่วงลงของราคาหุ้นส่วนใหญ่นั้น เป็นไปอย่างไม่สมเหตุสมผล หรือแม้กระทั่งเกิดจากอาการตื่นตกใจกันไปเกินกว่าเหตุ เป็นการเทขายตามกันไป
