ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา การผลิตน้ำมันจากหินดินดาน หรือเชลออยล์ (shale oil) ในสหรัฐ เริ่มส่งสัญญาณถึงการชะลอตัว และการเติบโตของการผลิตอาจจะช้าลง แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ยุคแห่งการปฏิวัติเชลออยล์ของสหรัฐ ยังไม่สิ้นสุดลงในเร็ววันนี้แน่
พลังงานจากชั้นหินดินดานคืออะไร
พลังงานจากชั้นหินดินดาน (shale energy) เป็นน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ที่เกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์ ภายใต้ชั้นหินดินดานเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี ซึ่งหินดินดานมีความหนาแน่นสูง ทำให้น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติไหลผ่านได้ยาก ซึ่งในอดีตนั้นถือเป็นทรัพยากรที่นำขึ้นมาใช้ได้ยาก ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และไม่คุ้มค่ากับการผลิตในเชิงพาณิชย์
สหรัฐเป็นผู้ค้นพบ และพัฒนาเทคโนโลยีการขุดเจาะน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดานเป็นรายแรกๆ ของโลก เนื่องจากเป็นประเทศที่มีแหล่งพลังงานชนิดนี้อยู่เป็นจำนวนมากติดอันดับต้นๆ ของโลก
ต้นทุนการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันจากชั้นหินดินดานต่ำลงอย่างมาก จากการลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการขุดเจาะอย่างต่อเนื่องจนประสบความสําเร็จ ได้วิธีการขุดเจาะที่รู้จักกันในชื่อ “fracking” ซึ่งเป็นการนำเทคนิคการขุดเจาะ 2 อย่าง คือ การใช้แรงดันสูงผสมสารเคมีและทรายเพื่อให้หินดินดานร้าว ร่วมกับการขุดเจาะตามแนวนอนมารวมเข้าด้วยกัน
อย่างไรก็ดี เทคนิคที่ใช้ในการขุดเจาะนี้ก็ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เพราะสารเคมีที่นำมาใช้ จะกระจายเข้าไปยังแหล่งน้ำใต้ดิน และยังอาจเกิดการรั่วไหลของน้ำมันเข้าสู่สภาพแวดล้อมด้วย
สหรัฐยังเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่สามารถดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งจากการเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ได้ก่อนประเทศอื่นๆ รวมถึง ยังมีกฎหมายที่เอื้อต่อการลงทุนของบริษัทเอกชน จากการให้กรรมสิทธิ์พลังงานชั้นหินดินดานที่อยู่ใต้พื้นดินให้เป็นของเจ้าของที่ดิน และยังมีแหล่งน้ำมากพอ ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับขั้นตอนทำ fracking
ส่งผลดีทั้งทางตรง-ทางอ้อมต่อเศรษฐกิจ
สหรัฐมีความสามารถในการผลิตพลังงานจากชั้นหินดินดาน ทั้งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา โดยมีอัตราการเติบโตของปริมาณการผลิตเกือบ 40% ต่อปี
นับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของ 2557 เป็นต้นมา เชลออยล์ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมากขึ้น เและกลายมาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็ว
พลังงานประเภทนี้ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐทั้งโดยตรง และทางอ้อม
ในทางตรงนั้น ทำให้เกิดการลงทุน และจ้างงานในภาคพลังงาน ส่วนทางอ้อมนั้น เป็นการช่วยเพิ่มผลผลิตในสหรัฐ เพราะราคาน้ำมันถูกลง ส่งผลต่อเนื่องถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ กล่าวคือ ราคาพลังงานที่ถูกลง ทำให้ครัวเรือนสามารถบริโภคพลังงานได้ในระดับเดิมแต่จ่ายเงินน้อยลง ทำให้มีเงินเหลือที่จะนำไปใช้จ่ายกับสินค้า และบริการอื่นๆ
ราคาพลังงานที่ถูกลงนี้ ยังจะทำให้การผลิตสินค้าที่ต้องใช้น้ำมันในการผลิตมีราคาถูกลงด้วย เอื้อต่อการเพิ่มผลผลิตในภาคธุรกิจอื่นๆ ช่วยเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันให้ดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังช่วยลดการขาดดุลการค้า และเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศอีกด้วย
ผู้ส่งออกน้ำมันสุทธิปี 2563
เทคนิคการขุดเจาะที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้การผลิตเชลออยล์ของสหรัฐ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนสามารถผลิตน้ำมันได้มากขึ้น ด้วยแท่นขุดเจาะที่น้อยลง
ความสามารถดังกล่าว ทำให้สหรัฐมีแนวโน้มที่จะกลายมาเป็นประเทศที่พึ่งพาพลังงานด้วยตัวเองได้ภายในปี 2563
ข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (อีไอเอ) ของสหรัฐ แสดงให้เห็นว่า แม้การขยายตัวในการขุดเจาะจะชะลอตัวลง แต่ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบโดยรวมจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆ ไป จากที่เคยผลิตได้ปริมาณเฉลี่ยรายปีสูงเป็นประวัติการณ์ ที่ 11 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2561 สหรัฐจะมีปริมาณการผลิตเชลออยล์โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2562 และ 13.2 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2563
อีไอเอประเมินด้วยว่า ตัวเลขการผลิตดังกล่าว จะทำให้ปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบ และปิโตรเลียมสุทธิของสหรัฐจากระดับ 520,000 บาร์เรลต่อวันในปีนี้ จะกลายเป็นการส่งออกสุทธิเฉลี่ยที่ 750,000 บาร์ต่อวันในปีหน้า
หลังจากที่สหรัฐกลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสุทธิในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 แล้ว สหรัฐจะยังคงอยู่ในสถานะนี้ต่อเนื่องไปอีกหลายปี โดยคาดว่า การผลิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ไปจนถึงปี 2570 ก่อนที่จะค่อยลดลง
สถานะการเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสุทธินี้ยังเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์กันว่า สหรัฐจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวภายในปี 2565