เชอร์โนบิล ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่เลวร้ายสุดของโลก ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน กำลังจะถูกยกสถานะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ
หลังจากที่พื้นที่ซึ่งกินบริเวณกว้างกว่า 2,500 ตารางกิโลเมตรถูกกันไว้เป็นเขตห่วงห้ามมาเป็นเวลานาน เชอร์โนบิลก็เริ่มได้รับความสนใจ มีคนเดินทางมาเยือนมากขึ้น นับตั้งแต่ “เอชบีโอ” ฉายมินิซีรีส์เกี่ยวกับโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครน ระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่จะสร้างความแตกต่างให้กับสถานที่นี้
“เราจะต้องมอบชีวิตใหม่ให้กับดินแดนแห่งนี้ของยูเครน จนถึงขณะนี้ เชอร์โนบิลยังเป็นส่วนที่เป็นด้านลบของแบรนด์ยูเครน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนแปลง”
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2529 เกิดเหตุเตาปฏิกรณ์ ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิด ทำให้ต้องอพยพประชาชนทั่วทั้งภูมิภาค และทำให้กัมมันตภาพรังสีแผ่กระจายไปทั่วยุโรป ทำให้ประชาชนหลายล้านคนตกอยู่ในความเสี่ยงจากกัมมันภาพรังสีในระดับที่เป็นอันตราย ทั้งเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น ก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 31 คน
ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องกับการระเบิดดังกล่าวยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก โดยสหประชาชาติเคยประเมินไว้ว่ามีผู้คนมากถึง 9,000 ราย ที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับเหตุดังกล่าว แต่ในเวลาต่อมา กรีนพีซคาดการณ์ว่า ยอดเหยื่ออาจพุ่งสูงถึง 200,000 ราย
ในแถลงการณ์ที่โพสต์ไว้บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเขานั้น เซเลนสกี้ บอกว่า เชอร์โนบิลเป็นสถานที่ที่มีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใครบนโลกใบนี้ เป็นสถานที่ที่ธรรมชาติฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา หลังจากเกิดหายนะจากน้ำมือมนุษย์ เป็นสถานที่ที่เป็น “เมืองร้าง” อย่างแท้จริง ซึ่งยูเครนต้องแสดงให้โลกเห็นถึงสถานที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักนิเวศวิทยา นักประวัติศาสตร์ และนักท่องเที่ยว
แม้พื้นที่ส่วนใหญ่ของเชอร์โนบิล จะเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวมาตั้งแต่ปี 2554 แล้ว แต่ท่าทีล่าสุดของผู้นำยูเครน ก็มีแนวโน้มว่าจะช่วยส่งเสริมสิ่งที่เรียกกันว่า “Dark Tourism” หรือการท่องเที่ยวมืด ในภูมิภาคนี้
ระหว่างการเดินทางลงพื้นที่เชอร์โนบิลเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา เซเลนสกี้ให้คำมั่นที่จะเปลี่ยน “เขตปิดกั้น” ให้เป็นหนึ่งในพื้นที่เติบโตของยูเครนยุคใหม่
