ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าววานนี้ (10 มิ.ย.)ว่า พร้อมที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่ หากการเจรจากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำแดนมังกร นอกรอบการประชุมจี20 ปลายเดือนนี้ ที่ญี่ปุ่นไร้ความคืบหน้า
นับแต่ที่การเจรจารอบล่าสุด เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐ เมื่อเดือนที่แล้วยุติลงแบบไร้ความคืบหน้า ทรัมป์ก็ได้ออกมาย้ำหลายครั้งว่า เขาคาดหวังถึงการหารือกับประธานาธิบดีสี ระหว่างการประชุมผู้นำกลุ่มจี20 ในวันที่ 28-29 มิถุนายนนี้ ที่นครโอซากา ญี่ปุ่น แต่ทางฝ่ายจีนยังไม่มีการออกมายืนยันใดๆ เกี่ยวกับการพบปะดังกล่าว
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้นำสหรัฐบอกด้วยว่า เขาจะตัดสินใจหลังการประชุมจี20 ว่าจะเดินหน้าขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน มูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์หรือไม่
ทรัมป์บอกเมื่อวานนี้ด้วยว่า เขายังเชื่อว่าน่าจะมีการพบหารือกับนายสีนอกรอบเวทีดังกล่าว
“เรามีกำหนดการที่จะเจอกัน และคุยกัน ผมคิดว่าน่าจะมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้น มารอดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ทรัมป์บอกต่อผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว
ก่อนหน้านั้น กระทรวงการต่างประเทศจีน ระบุว่า จีนเปิดกว้างสำหรับการเจรจาการค้ากับสหรัฐ แต่ยังไม่มีอะไรที่จะประกาศถึงความเป็นไปได้ที่ผู้นำทั้ง 2 ประเทศอาจจะพบหารือกัน
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ กับจีน ตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐ กล่าวหาจีนว่าผิดคำพูด ในคำสัญญาที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ที่ทางสหรัฐต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นวงกว้าง รวมถึง การยุติบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี และขโมยความลับทางการค้าของสหรัฐ ทั้งยังต้องการให้ควบคุมเงินอุดหนุนที่ทางการให้กับรัฐวิสาหกิจ และให้บริษัทสหรัฐเข้าถึงตลาดจีนได้มากขึ้น
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม สหรัฐยังขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ ในอัตราสูงสุดถึง 25% พร้อมเดินหน้ากระบวนการที่จะขึ้นภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนทั้่งหมดอีก 300,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจีนได้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ อีก 60,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้ในเรื่องดังกล่าว
สหรัฐยังทำให้จีนไม่พอใจมากขึ้น ด้วยการขึ้นบัญชีดำ หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ และบริษัทในเครือ ไม่ให้บริษัทสหรัฐทำธุรกิจด้วย ถ่าไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลก่อน ซึ่งนักลงทุนวิตกว่า จีนจะตอบโต้เรื่องนี้ด้วยการขึ้นบัญชีดำบริษัท หรือ ห้ามส่งออกแร่ที่มีส่วนประกอบของธาตุหายาก (rare earth)ไปยังสหรัฐ