World News

ผลสำรวจพบ 50% บริษัทโตเร็วสุดในโลกอยู่ที่เอเชีย

หลังจากวิกฤติการเงินโลกผ่านพ้นไปได้ 10 ปี เอเชียก็กลับเฟื่องฟูอีกครั้งหนึ่ง แรงหนุนจากผู้บริโภคที่มีฐานะร่ำรวยมากขึ้น ทั้งบริษัทในภูมิภาคนี้ก็ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งความท้าทายต่อไป คือ การนำสินค้าของตัวเองออกไปขายในตลาดอื่นๆ ทั่วโลก

businessman 3300907 960 7201

เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียน รีวิว ดำเนินการรวบรวมข้อมูลภาคธุรกิจในเอเชีย ที่แสดงให้เห็นว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทเอเชีย 1,679 ราย มีมูลค่าทางตลาดเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่า หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10 เท่าทั่วโลก ซึ่งตัวเลขนี้ไม่รวมบริษัทที่อยู่ในตะวันออกกลาง เอเชียกลาง และญี่ปุ่น

การเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทเอเชีย เป็นผลมาจากความต้องการอย่างแข็งแกร่ง ที่เกิดจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค ข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ชี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่เอเชียขยายตัวถึง 160% ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เทียบกับอัตราการเติบโตทั่วโลกในช่วงเวลาเดียวกันที่ราว 30% ทั้งเอเชียยังเป็นภูมิภาคที่สามารถดึงเงินทุนจากนักลงทุนต่างแดนเข้ามาได้เป็นจำนวนมาก

ในการใช้ข้อมูลที่รวบรวมโดยควิกแฟคท์เซ็ต นิกเคอิได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนราว 30,000 แห่งทั่วโลก และแยกแยะบริษัทที่ราคาหุ้นทะยานสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 10 เท่าในช่วง 10 ปี นับถึงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า มีบริษัทที่เข้าข่ายดังกล่าวจำนวน 3,346 ราย และเมื่อแยกย่อยออกเป็นรายภูมิภาค พบว่า เอเชียมีบริษัทกลุ่มนี้อยู่มากที่สุด ตามด้วยสหรัฐที่ 482 ราย ยุโรป 470 ราย และญี่ปุ่น 193 ราย

สำหรับในเอเชีย ไม่รวมญี่ปุ่นนั้น อินเดียเป็นประเทศที่มีบริษัทขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10 เท่ามากสุด จำนวน 494 ราย ภายใต้การนำของบริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามมาด้วยจีน ที่จำนวน 334 ราย นำโดยเทนเซ็นต์ ที่ในช่วงเวลาดังกล่าวราคาหุ้นเติบโตถึง 33 เท่า มีมูลค่าทางตลาดที่ 437,800 ล้านดอลลาร์ และยังเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่สุดอันดับ 2 ของกลุ่มบริษัทที่มีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10 เท่า รองจากอเมซอน ดอท คอม

grp1

นอกจากนี้ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีบริษัทที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากเช่นกัน โดยอินโดนีเซียมีบริษัทที่เติบโตมากกว่า 10 เท่า อยู่ 85 ราย ไทย 82 ราย และมาเลเซีย 71 ราย ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึง กูดัง การาม ผู้ผลิตยาสูบอินโดนีเซีย ซีพีออลล์ บริษัทค้าปลีกไทย และฮับเส็ง คอนโซลิเดทด์ กลุ่มบริษัทมาเลเซีย

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ชี้ว่า การขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของหลายประเทศในเอเชีย ทำให้ราคาหุ้นบางส่วนมีมูลค่าที่สูงเกินความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทนเซ็นต์ ที่นักวิเคราะห์ชี้ว่า เป็นหุ้นที่ราคาผันผวนสูงมาก เคยร่วงลงไปเคลื่อนไหวที่ระดับ 250 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น ในช่วงปลายปี 2561 ทั้งที่ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันนั้น มีราคาสูงถึง 400 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น

Avatar photo