ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคโลก “ยูนิลีเวอร์” ประกาศการตัดสินใจครั้งสำคัญในวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา ถึงการควบรวมสำนักงานใหญ่ในอังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ เข้าไว้ด้วยกัน และเลือกที่จะให้เหลือสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียวที่เนเธอร์แลนด์
บริษัทยืนยันว่า กรุงลอนดอนจะยังมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินงานในอนาคต เพราะยังเป็นฐานการดำเนินงานหลักของธุรกิจความงาม และดูแลบ้านไว้ที่แดนผู้ดีแห่งนี้ ทั้งจะไม่มีการเลิกจ้างงานแต่อย่างใด
รายงานข่าวระบุว่า ยูนิลีเวอร์ตัดสินใจที่จะรวมสำนักงานใหญ่เข้าไว้ด้วยกัน หลังจากที่ “คราฟต์ ไฮนซ์ โค” กลุ่มบริษัทอาหารรายใหญ่ของสหรัฐ ยกเลิกข้อเสนอซื้่อกิจการ มูลค่า 1.43 แสนล้านดอลลาร์ไปเมื่อปีที่แล้ว โดยให้เหตุผลว่า ได้รับเสียงตอบรับจากอีกฝ่ายไม่ดีนัก และโดนรัฐบาลอังกฤษคัดค้าน
“การปรับเปลี่ยนให้มีสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว จะทำให้บริษัทดำเนินการผนวก และควบรวมกิจการได้ง่ายขึ้น” แกรม พิทเคธลี หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่การเงิน (ซีเอฟเอฟ) ยูนิลีเวอร์ กล่าว
เหล่านักวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง หรือเคยเกี่ยวข้องกับยูนิลีเวอร์นั้น ล้วนแต่เป็นชาวเนเธอร์แลนด์ทั้งนั้น อย่าง นายกรัฐมนตรีมาร์ก รัตต์ ของเนเธอร์แลนด์ ก็เคยทำงานร่วมกับบริษัทมาก่อน ส่วนพอล โพลแมน หัวหน้าคณะผู้บริหาร (ซีอีโอ) ก็เป็นชาวเนเธอร์แลนด์
ดินแดนดัทช์ยังมีความน่าสนใจสำหรับภาคธุรกิจ จากการที่รัฐบาลรัตต์ได้ยกเลิกการเก็บภาษีเงินปันผล มาตรการที่ดึงดูดบริษัทข้ามชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการของเนเธอร์แลนด์ ยังให้การปกป้องธุรกิจจากการเข้าซื้ออย่างเป็นปรปักษ์มากกว่ากฎหมายอังกฤษ ด้วยการกำหนดให้คณะกรรมการบริหารจะต้องนำเรื่องผลประโยชน์ของแรงงานเข้ามารวมไว้ด้วย ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้ถือหุ้นเท่านั้น
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ยังจะทำให้สำนักงานใหญ่ของยูนิลีเวอร์ อยุ่ในเขตของสหภาพยุโรป (อียู) หลังจากที่อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกอียู (เบร็กซิท) ไปแล้ว ซึ่งการที่มีฐานดำเนินงานอยู่ในเมืองรอตเตอร์ดัม จะทำให้ยูนิลีเวอร์ ยังได้รับประโยชน์จากแรงงานที่สามารถเดินทางข้ามแดนได้อย่างอิสระ แม้ว่าพิทเคธลี ซีเอฟโอ บริษัทจะปฏิเสธว่า การตัดสินที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากเรื่องอื่นๆ ก็ตาม
“ครั้งนี้ถือเป็นการย้ายสำนักงานใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ และแน่นอนว่า ไม่เกี่ยวข้องกับเบร็กซิทเลย แต่เป็นมุมมองระยะยาวของบริษัทในอีก 30 ปี 50 ปีข้างหน้า”