เหตุการณ์ไฟไหม้ “นอเทรอดาม” โบสถ์เก่าแก่อายุ 850 ปี ที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งกรุงปารีสของฝรั่งเศสเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 เม.ย.) แสดงให้เห็นถึงความเอื้อเฟื้ออย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ด้วยเงินบริจาคที่หลั่งไหลเข้ามาทั้งจากใน และนอกฝรั่งเศส ทั้งที่เป็นเงินก้อนโต และเงินจำนวนเล็กๆ น้อยๆ แต่ท่ามกลางความใจดีที่เกิดขึ้นนี้ ก็เริ่มมีเสียงวิจารณ์กล่าวหาถึงการแสวงหาประโยชน์จากการบริจาคดังกล่าว
ฟรองซ์ 24 สถานีโทรทัศน์ และสำนักข่าวรายใหญ่ของฝรั่งเศส รายงานว่า นับถึงเมื่อวานนี้ (18 เม.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น บรรดาผู้บริจาคได้ให้คำมั่นถึงการบริจาคเงินเพื่อช่วยซ่อมแซมอาสนสถานเก่าแก่แห่งนี้แล้ว 850 ล้านยูโร หรือมากกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นยอดเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ 2 ตระกูลมหาเศรษฐีของฝรั่งเศส คือตระกูลปิโนลต์ และอาร์โนลต์ เจ้าของบริษัทสินค้าหรูหรารายใหญ่ของโลก คือ เคอริง และแอลวีเอ็มเอช ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการบริจาคเงินก้อนโต
ตระกูลปิโนลต์ให้คำมั่นถึงการบริจาคเงิน 100 ล้านยูโร หลังเวลาเที่ยงคืนของวันเกิดเหตุไม่นานนัก จากนั้นตระกูลอาร์โนลต์ ก็บริจาคเพิ่มอีก 200 ล้านยูโร ในเช้าวันถัดมา ตามด้วยตระกูลเบตองคูร์ และลอรีอัล ธุรกิจเครื่องสำอางของตระกูล ที่บริจาคจำนวน 200 ล้านยูโรในวันเดียวกันนี้
จากนั้น มหาเศรษฐีรายอื่นๆ ของฝรั่งเศส ก็ออกมาบริจาคเงินสมทบกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจอย่าง “โททาล” ยักษ์ใหญ่ด้านน้ำมันที่บริจาคเงิน 100 ล้านยูโร เจซีเดอโก บริษัทโฆษณาชั้นนำบริจาค 20 ล้านยูโร 2 พี่น้องตระกูลบุยกีส์ เจ้าของบุยกีส์ กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจก่อสร้าง โทรคมนาคม และสื่อในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ร่วมบริจาคอีก 10 ล้านยูโร
ธุรกิจอื่นๆ รวมถึง ธนาคารรายใหญ่ๆ อาทิ บีเอ็นพี โซซิเอเต เจเนอราล เครดิต อกริโคล และบีพีซีอี กลุ่มบริษัทประกันแอ็กซ่า และซาโนฟี ยักษ์ใหญ่ด้านเวชภัณฑ์ ต่างออกมาให้คำมั่นถึงการบริจาคเงินรวมมูลค่าหลายสิบล้านยูโร
นอกจากนี้ ยังมี ลา ฟรองเซ เดส์ โชซ์ บริษัทสลากกินแบ่งแห่งชาติฝรั่งเศส ที่จะบริจาครายได้ในส่วนของบริษัท ที่จะได้จากการออกสลากินแบ่งเทศกาลอีสเตอร์ในวันเสาร์นี้ (20 เม.ย.) ให้กับการฟื้นฟูนอเทรอดาม ขณะที่เทศมนตรีกรุงปารีส ก็เป็นนำในการบริจาค และรวบรวมเงินบริจาคจากหน่วยงานรัฐบาลระดับต่างๆ ทั่วประเทศมาได้ราว 50 ล้านยูโร
บริษัทอื่นๆ ยังได้ออกมาให้คำมั่นถึงการช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ อาทิ แอร์ ฟรานซื เคแอลเอ็ม เสนอการเดินทางฟรี ให้กับผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการเชื้อเชิญอย่างเป็นทางการ ให้เข้ามามีส่วนร่วมซ่อมแซมโบสถ์นอเทรอดาม ขณะที่ กรูปามา บริษัทประกัน บริจาคต้นโอ๊ค 1,300 ต้นจากป่าของบริษัทในนอร์มังดี ในกรณีที่จะมีการสร้างหลังคาโบสถ์ขึ้นมาใหม่ในแบบดั้งเดิมสมัยศตวรรษที่ 13 ส่วนอาร์เซอลอร์มิทตาล บริษัทเหล็ก ให้คำมั่นถึงการจัดหาเหล็กให้กับการซ่อมแซม และแซงต์ โกแบง นำเสนอความช่วยเหลือในเรื่องงานแก้ว ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของบริษัท
แม้กระทั่งสำนักพิมพ์ ผู้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “The Hunchback of Notre-Dame” ของวิคเตอร์ ฮูโก ภาคภาษาฝรั่งเศส ที่ยอดขายพุ่งขึ้นติดอันดับหนังสือขายดี หลังเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งนี้ ก็ให้คำมั่นถึงการบริจาคเงินช่วยเหลือการซ่อมแซมด้วย เช่นเดียวกับ อูบิซอฟต์ ผู้พัฒนาวีดิโอเกมฝรั่งเศส ที่ประกาศบริจาคเงิน 500,000 ยูโร
We are heartbroken for the French people and those around the world for whom Notre Dame is a symbol of hope. Relieved that everyone is safe. Apple will be donating to the rebuilding efforts to help restore Notre Dame’s precious heritage for future generations.🇫🇷
— Tim Cook (@tim_cook) April 16, 2019
ขณะที่ภายนอกฝรั่งเศสนั้น “ทิม คุก” ซีอีโอแอปเปิ้ล ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีสหรัฐ ให้คำมั่นถึงการบริจาคเงินจำนวนหนึ่ง และวอลท์ ดิสนีย์ บริษัทสื่อบันเทิงครบวงจรของสหรัฐ ที่นำหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนอเทรอดาม ของวิคเตอร์ ฮูโก มาผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันนั้น ระบุว่า จะบริจาคเงินสูงสุด 5 ล้านดอลลาร์
ทั้งยังมีเงินบริจาครายย่อยที่หลั่งไหลเข้ามาจากทั่วโลก ผ่านทางมูลนิธิดู ปาตริมวน ซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐที่ทำงานด้านการอนุรักษ์มรดกของฝรั่งเศส มากถึง 13.1 ล้านยูโรแล้ว
✨ An international solidarity to save this world heritage that is Notre-Dame !
Thanks to the 120 000 donors from all around the world.
To support ➡https://t.co/QAB3kFhsK0 pic.twitter.com/TKA0LgURn0— Fondation du patrimoine (@fond_patrimoine) April 17, 2019
ท่ามกลางกระแสเงินบริจาคที่หลั่งไหลเข้ามานี้ โดยเฉพาะจากกลุ่มธุรกิจ และมหาเศรษฐี ก็เกิดเสียงวิจารณ์โผล่ขึ้นมา แสดงความกังขาเกี่ยวกับแรงจูงใจในการบริจาคของคนกลุ่มนี้ สถานการณ์ที่ทำให้เกิดเสียงโต้กลับมากมาย โดยเฉพาะจากตระกูลปิโนลต์ และเจซีเดอกู
เช่นเดียวกับเบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ซีอีโอแอลวีเอ็มเอช ซึ่งกล่าวต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทว่า บริษัทของเขาไม่ได้สนใจกับเรื่องการลดหย่อนภาษี ที่จะได้รับการบริจาคเงินดังกล่าว และว่า บริษัทได้รับประโยชน์มากจนชนเพดานไปแล้ว
“แทนที่จะคิดถึงผลประโยชน์ร่วมกัน แต่กลับมีความอิจฉาเกิดขึ้น ถ้าเป็นในประเทศอื่นๆ พวกเราคงได้รับการยกย่องไปแล้ว” อาร์โนลต์ ระบุ
