ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ เปิดซื้อขายวันนี้ (9 เม.ย.) ปรับลดลงมา หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาขู่ที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรป ขณะไอเอ็มเอฟ ปรับลดแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก เพิ่มความกังวลถึงการชะลอตัวที่เกิดจากข้อขัดแย้งทางการค้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดปรับลงมา 137.87 จุด หรือ 0.52% มาอยู่ที่ 26,203.15 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 10.59 จุด หรือ 0.37% ที่ 2,885.18 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 11.17 จุด หรือ 0.14% ที่ 7,942.71 จุด
วันนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ลงมาอยู่ที่ระดับ 3.3% จากเดิมที่ประเมินไว้ 3.5% โดยให้เหตุผลถึงความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า รวมทั้งการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
อย่างไรก็ดี ไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.6% ในปีหน้า ซึ่งเท่ากับการขยายตัวในปี 2561 แต่เตือนว่า ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกในปีนี้ รวมถึง การที่อังกฤษอาจแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป(อียู) โดยไร้ข้อตกลง ความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงเวลาที่หลายประเทศทั่วโลกจัดการเลือกตั้ง และความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียตะวันออก
ไอเอ็มเอฟยังแนะนำให้ประเทศที่มีหนี้สินสูง ทำการเพิ่มรายได้หรือควบคุมการใช้จ่ายส่วนเกิน แต่สำหรับประเทศ ที่ยังไม่ค่อยน่ากังวลเกี่ยวกับการระดมทุนนั้น ผู้กำหนดนโยบายอาจสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน หรือการศึกษาเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจในระยะใกล้ และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมในช่วงไม่กี่สิบปีข้างหน้า
นายวิคเตอร์ แกสปาร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการการคลังของไอเอ็มเอฟ ระบุในรายงานจับตานโยบายการคลัง ซึ่งมีการเผยแพร่ทุกๆ 2 ปี ด้วยว่า ผู้ตัดสินใจด้านนโยบายการคลังควรคำนึงถึงอัตราหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น ความผันผวนทางการเงิน และความเสี่ยงขาลงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ได้ปรับเงินเฟ้อ
นักลงทุนยังจับตาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ตึงเครียดมากขึ้นระหว่างสหรัฐ กับอียู หลังสหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากอียูคิดเป็นมูลค่า 11,000 ล้านดอลลาร์ ขณะอียูขู่ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐเช่นกัน
ประธานาธิบดีทรัมป์ทวีตว่า สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากอียู หลังจากที่องค์การการค้าโลก ตัดสินว่า การที่อียูให้เงินอุดหนุนแอร์บัส ได้ส่งผลกระทบต่อสหรัฐ
