“หมอสันต์” เสนอบิ๊กตู่ เลิกกันกันโรค เปิดโอกาสให้คนติดเชื้อโอไมครอน สร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ยกเคสแอฟริกาได้ภูมิคุ้มกันจากโควิด ติดเชื้อมากตายน้อย
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ศัลยแพทย์หัวใจและผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว โพสต์ เว็บไซต์ส่วนตัว เสนอพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลิกยุทธศาสตร์เดิม ๆ เปลี่ยนเป็นเปิดให้คนติดเชื้อโอไมครอน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ โดยระบุว่า
เมื่อคืนก่อนผมไปงานเลี้ยง ได้พบปะกับทูตของประเทศต่าง ๆ หลายท่าน ได้คุยกับทูตบางประเทศนานเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทูตประเทศจากแอฟริกา
ผมพยายามเลียบเคียงถามถึงสถานการณ์โรคโควิดที่นั่น ประเด็นคือ ผมอยากรู้คือที่สื่อตะวันตกตั้งแง่ว่า รัฐบาลของประเทศในแอฟริกา รวมทั้งเคนยาและอูกันดา ปิดข่าวเรื่องการตายของผู้ป่วยโควิด ทำให้สถิติดูดีกว่าความเป็นจริงนั้น ของจริงมันเป็นอย่างไร
ท่านทูตบอกว่าโรคโควิดที่นั่นมันสงบแล้วจริง ๆ และการตายของผู้คนก็มีน้อยมากจนสัมผัสไม่ได้
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับที่ผมเคยได้ฟังคำสัมภาษณ์ของ Dr. Thierno Balde’ แพทย์ของ WHO ที่ดูแลเรื่องโรคโควิดในแอฟริกาได้เล่าว่า ตัวเขาเองโดยหน้าที่ต้องเดินทางไปทั่วทุกหัวระแหงของอัฟริกา ทั้งบ้านเล็กเมืองน้อย เขาไม่เห็นสัญญาณใด ๆ ว่า จะมีการตายของผู้คนมาก หรือมีงานศพอะไรมากมายเป็นพิเศษเหมือนอย่างช่วงโรคเอดส์ระบาดใหม่ ๆ ไม่มีเลย
ข้อมูลของกระทรวงสธ. อูกันดา นับถึงวันนี้มีอยู่ว่า ทั้งประเทศตรวจคัดกรองไปแล้ว 2,552,614 คน ติดเชื้อสะสม 163,878 คน ตายสะสม 3,595 คน (2.1%) เกือบทั้งหมดเป็นการตายช่วงเดลตาระบาด ฉีดวัคซีนไปแล้ว 10,048,279 โดส (ประชากร 45.7 ล้าน)
มาถึงตอนนี้เคสสงบจากเวฟใหญ่แล้ว มีติดเชื้อเพิ่มเฉลี่ยวันละ 9 คน ยังอยู่ในไอซียู. 2 คน ไม่มีคนตาย
ขณะเดียวกัน ก็มีงานวิจัยหนึ่งซึ่งสนับสนุนทางการเงินโดย WHO และรัฐบาลเยอรมัน เพิ่งเปิดเผยไม่กี่วันมานี้ เป็นงานวิจัยเมตาอานาไลซีส ที่รวบรวมการเจาะเลือดสุ่มตรวจภูมิคุ้มกันโควิดของผู้ป่วยที่ทำวิจัยในประเทศต่าง ๆ ทั่วแอฟริกา
งานวิจัยได้ผลว่า ภูมิคุ้มกันที่ตรวจได้ในเลือดของชาวแอฟริกาที่สุ่มตรวจทั้งทวีป ได้เพิ่มจาก 3.0% ในกลางปี 2563 มาเป็น 65.1 % ในปลายปี 2564
นั่นหมายความว่าโรคได้กวาดไปทั่วทวีปจนจบลงไปแล้ว โดยที่มีการล้มตายน้อยมาก ทั้ง ๆ ที่อัตราการได้วัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็มของแอฟริกาต่ำเพียง 14% อะไรทำให้ได้ภูมิคุ้มกันมากโดยคนตายน้อยและลงทุนน้อย
ทำไมอินเดียตายกันมากกว่าล้านคน หรือว่าเป็นเพราะช่วงเวลาที่โรคกวาดผ่านไปนั้นมันต่างกัน อินเดียเจอโรคตอนเดลตากำลังขึ้น แต่แอฟริกาเจอเอาตอนโอไมครอนมาแทนเดลตา
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด ในการจะบริหารสถานการณ์โควิดของเมืองไทยเรานี้ เราจะหลับหูหลับตาไม่เรียนรู้จากแอฟริกาไม่ได้เลย
ยุทธศาสตร์เดิม ๆ ของเราตอนนี้คือ (1) มุ่งฉีดวัคซีนเข็มสามให้ครอบคลุม (2) มุ่งฉีดวัคซีนเด็กให้ครอบคลุม (3) ชลอการระบาดของโรคออกไปให้ได้นานที่สุดด้วยคอนเซ็ปต์ที่จะสงวนเดียงในโรงพยาบาลไว้ (4) หวังกับการฉีดวัคซีนเข็ม 4, 5, 6 ว่ามันจะป้องกันคนส่วนใหญ่ไว้ไม่ให้ติดเชื้อตลอดไป
แนะปล่อยติดโควิด สร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ
ผมเขียนบทความนี้เพื่อจะบอกแก่รัฐบาลลุงตู่ว่า ยุทธศาสตร์ที่เรากำลังใช้อยู่ทั้งสี่อย่างนี้ จะพาเราไปสู่ทางตัน และจะยิ่งมีปัญหาหากมีสายพันธ์อื่นที่รุนแรงกว่ามาแทนโอไมครอน เพราะ
ประเด็นที่ 1. หากเราเรียนรู้จากอัฟริกา เราไม่ควรพลาดโอกาสใช้โอไมครอนในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้คนทั่วไป เพราะงานวิจัยพบว่าวัคซีนที่เราลงทุนฉีดไปแล้ว ภูมิคุ้มกันมันจะคงอยู่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แล้วมันก็จะค่อย ๆ แผ่วลง นาทีทองมีอยู่แค่ไม่กี่เดือนจากนี้ไปเท่านั้น
ดังนั้นเราควรจะยกเลิกการกักกันโรคเสีย เปลี่ยนมาจัดการโรคแบบเปิด ให้ประชากรส่วนใหญ่ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำอยู่แล้วได้ติดเชื้อโอไมครอน ตอนที่วัคซีนที่เราเพิ่งลงทุนฉีดไป ยังช่วยลดอัตราการเข้าโรงพยาบาลและการตายได้อยู่นี้
ประเด็นที่ 2. ในแง่การควบคุมโรคระยะยาว การติดเชื้อธรรมชาติ เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้การควบคุมโรคมีประสิทธิผลสูงสุด เพราะผลวิจัยอัตราการต้องเข้าโรงพยาบาลของผู้มีสถานะวัคซีน และสถานะการติดเชื้อต่างกัน ซึ่งทำกับประชากรของแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์คพบว่า หากเอาความเสี่ยงต้องถูกรับไว้ในโรงพยาบาลของกลุ่มที่ไม่เคยติดเชื้อ และไม่เคยได้วัคซีนเป็นตัวตั้ง กลุ่มที่ได้วัคซีนแต่ไม่เคยติดเชื้อมีความเสี่ยงเข้า รพ. น้อยกว่า 19.8 เท่า
แต่กลุ่มที่เคยติดเชื้อและเคยได้วัคซีนด้วย มีความเสี่ยงเข้ารพ.น้อยกว่า 55.3 เท่า ขณะที่กลุ่มที่เคยติดเชื้อโดยไม่เคยได้วัคซีนเลย มีความเสี่ยงเข้ารพ.น้อยกว่า 57.5 เท่า
แปลว่าการติดเชื้อต่างหาก ที่เป็นตัวบอกว่า จะป้องกันการต้องเข้าโรงพยาบาลได้อย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง โดยไม่เกี่ยวกับว่าจะได้หรือไม่ได้วัคซีนร่วมด้วยเลย
ดังนั้นการหวังลดการเข้าใช้โรงพยาบาลจากการเปิดให้ติดเชื้อ จะได้ผลดีกว่าการหวังเอาจากการฉีดวัคซีนซึ่งต้องฉีดกระตุ้นซ้ำซาก ตามรอบที่ภูมิคุ้มกันแผ่วลง และต้องกระตุ้นกันไปอย่างไม่รู้จบ
ประเด็นที่ 3. อัตราเข้าโรงพยาบาลและอัตราตายจากการติดเชื้อโอไมครอนต่ำมาก นอกจากข้อมูลภาพรวมของอัฟริกา ที่ผ่านการติดเชื้อธรรมชาติทั้งทวีปมาได้โดยไม่บอบช้ำแล้ว ข้อมูลของอังกฤษก็บ่งชี้ไปทางเดียวกัน
ข้อมูล National Statistic ของอังกฤษบ่งชี้ว่า ทุกวันนี้มีคนตายทั้งประเทศสัปดาห์ละ 826 คน (อัตราตาย 0.03% ถ้าคำนวณจากการติดเชื้อในช่วงเดียวกันสัปดาห์ละ 2,443,077 คน) ในจำนวนที่ตายนี้ประมาณ 35-60% มีโรคเรื้อรังร่วมด้วย จึงยังไม่รู้ว่าตายจากอะไร อัตราตายเพิ่มสัปดาห์ละ 5 คน (0.6%) อายุเฉลี่ยของผู้ตาย 82.5 ปี
หากเปรียบเทียบอัตราตายจากทุกโรคต่อสัปดาห์ ในช่วงที่โอไมครอนระบาดอยู่ พบว่าต่ำกว่าอัตราตายรวมต่อสัปดาห์เฉลี่ย 5 ปีก่อนยุคโควิดระบาดอยู่สัปดาห์ละ 12,473 คน หรือต่ำกว่ากัน 0.3%
แปลว่าในภาพใหญ่ ขณะที่โอไมครอนระบาดระเบ้อ ติดเชื้อวันละสามแสนกว่า แต่อัตราตายรวมไม่ได้เปลี่ยนแปลงแตกต่างไปจากสมัยที่ยังไม่มีโควิด
ประเด็นที่ 4. การคิดจะฉีดวัคซีนให้เด็ก เพื่อช่วยเพิ่มการควบคุมโรคในระดับชาตินั้น เป็นทิศทางที่ไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์สนับสนุน ว่าจะได้ประโยชน์คุ้มความเสี่ยง
ประเทศที่มีข้อมูลเรื่องนี้ดีที่สุดคืออังกฤษ เพราะที่อังกฤษก็มีปัญหาเดียวกันเนื่องจากการติดเชื้อกำลังอยู่ในขาขึ้น คือข้อมูลนับถึงวันนี้จากฐานข้อมูล ZOE พบว่าตอนนี้ 1 ใน 15 คนติดเชื้อถึงระดับมีอาการไปแล้ว มีคนติดเชื้อใหม่วันละ 349,011 คน เพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 7% มีค่า R value 1.1 แปลว่ายังอยู่ขาขึ้น แต่จวนเจียนจะถึงพีคเป็นขาลง
ข้อมูลในเด็กของ National Statistic ของอังกฤษพบว่า เด็กระดับมัธยม 96.6% มีภูมิคุ้มกันแล้ว โดยที่ 46.6% ได้วัคซีนครบแล้ว แปลว่าอย่างน้อย 50% ของที่มีภูมิคุ้มกัน ไม่ได้เกิดจากวัคซีน ส่วนเด็กประถม(อายุ 5-11 ปี) พบว่า 62.4% มีภูมิคุ้มกันแล้ว
ถ้าเจาะลึกดูเฉพาะกลุ่มเด็กประถมอายุ 8-11 ปีพบว่า 80.9% มีภูมิแล้ว โดยที่เด็กประถมทั้งหมดนี้ไม่เคยได้วัคซีนเลย เด็กเหล่านี้ทั้งหมดได้ภูมิมาจากการติดเชื้อธรรมชาติโดยมักไม่มีอาการ แล้วจะไปฉีดวัคซีนเพิ่มอีก
ทำไมละครับ เพราะข้อมูลของแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์คก็บอกแล้วว่า วัคซีนไม่ได้ประโยชน์เพิ่มเติมในแง่การต้องเข้าโรงพยาบาล นอกเหนือไปจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ
โดยสรุปผมจึงขอเสนอลุงตู่ว่า มาถึงบัดนี้เวลาได้ผ่านไปนานแล้ว สถานการณ์หรือธรรมชาติของโรค (natural course of disease) ได้เปลี่ยนไปแล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์การควบคุมโรคโควิดเสียใหม่ ด้วยการตัดสินใจเลิกกักกันหรือเลิกชะลอโรคทันที เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ติดเชื้อโอไมครอน สร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ
เปิดพลั้วะเลย ยิ่งเร็วยิ่งดี หันมาใช้ยุทธศาสตร์รับมือแบบโรคประจำถิ่น รีบเปิดเสียก่อนที่ใบบุญที่เราสร้างไว้จากการฉีดวัคซีนจะแผ่วลงไป และก่อนที่สายพันธ์ที่รุนแรงกว่าแบบใหม่ ๆ จะมาแทนโอไมครอน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘หมอสันต์’ เปิดงานวิจัยชิ้นแรกความรุนแรงของโอไมครอน ‘อัตราตายใกล้ศูนย์’
- ยอดติดเชื้อ-ป่วยหนัก-ดับยังพุ่ง จี้ผู้สูงอายุฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ลดการเสียชีวิต 31 เท่า
- โอไมครอน BA.2 สายพันธุ์ย่อย คล้ายเดลตา วิ่งเร็ว ‘ดร.อนันต์’ ลั่นน่าห่วงกว่าไวรัสลูกผสม XE-XJ