ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (25 ก.พ.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ดัชนีหลักๆ พากันเดินสู่ขาลง ท่ามกลางแรงเทขายหุ้นตัวใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลตอบแทนพันธบัตร ที่ยังพุ่งสูงอยู่ ขณะตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ลดลงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 31,761.20 จุด ร่วงลง 200.66 จุด หรือ 0.63% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 3,886.90 จุด ลดลง 38.53 จุด หรือ 0.98% และดัชนีแนสแด็กที่ 13,407.46 จุด ดิ่งลง 190.51 จุด หรือ 1.40%
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 400 จุดแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์วานนี้ (24 ก.พ.) โดยได้ปัจจัยบวก จากถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐ ยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคาร อุตสาหกรรม และพลังงาน
อย่างไรก็ดี บรรยากาศการซื้อขาย ยังคงถูกกดดันในวันนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปี ดีดตัวเหนือระดับ 1.46% ซึ่งเป็นระดับสูงสุด นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ท่ามกลางความวิตกว่า การดีดตัวขึ้น ของอัตราผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะส่งผลกระทบต่อบริษัท ที่ได้รับประโยชน์ จากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระดับต่ำ และจะลดความน่าดึงดูด ของการลงทุนในหุ้น ทำให้นักลงทุนหัน เข้าสู่ตลาดพันธบัตรแทน
อย่างไรก็ดี นายพาวเวลกล่าวว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล เกิดจากการคาดการณ์เงินเฟ้อ และการขยายตัวที่สูงขึ้น รวมทั้งเป็นการส่งสัญญาณความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลงมาอยู่ที่ 730,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว แตะระดับต่ำสุด นับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 พฤศจิกายน 2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 845,000 ราย
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐ ยังได้ปรับลดตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ มาอยู่ที่ 841,000 ราย จากเดิมรายงานที่ 861,000 ราย
ส่วนจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลง 101,000 ราย มาอยู่ที่ 4.42 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด นับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 21 มีนาคม 2563
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2563 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 4.1% โดยปรับตัวดีกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 4.0%
การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 4/2563 ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของการส่งออก และการใช้จ่ายของผู้บริโภค แม้ว่าการใช้จ่ายในภาครัฐปรับตัวลง
เมื่อพิจารณาทั้งปี 2563 เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 3.5% โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2489
นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 33.4% ในไตรมาส 3/2563 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่สหรัฐเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2490 หรือกว่า 70 ปี จากการที่สหรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และมีการเปิดเศรษฐกิจ หลังจากหดตัว 31.4% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงเป็นประวัติการณ์ และหดตัว 5% ในไตรมาส 1 ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากมีการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐ จะดีดตัวขึ้นในปีนี้ โดยได้ปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล, การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวงกว้าง และการที่เฟด ยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ส่งผลให้เกิดคาดการณ์กันว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 9% ในไตรมาส 1/2564 และจะขยายตัว 6% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการขยายตัวมากที่สุด นับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจเติบโต 7.2% ในปี 2527
นายพาวเวล ประธานเฟด คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐ มีแนวโน้มขยายตัว 6% ในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น จากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 หลังมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนเป็นวงกว้าง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- สหรัฐอ่วม! เศรษฐกิจปี 63 หดตัว 3.5% หนักสุดรอบ 74 ปี
- ตลท.แขวน ‘SP’ การบินไทย เตรียมชี้ขาดเข้าข่ายอาจเพิกถอนออกจากตลาด
- ผู้สูงอายุ ต้องมีเงินออมหลังเกษียณ เท่าไร ถึงจะอยู่รอด สภาพัฒน์ มีคำตอบ