เมื่อโลกและเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง “กูรูหุ้นคนดัง” เปิด 4 ลักษณะเด่นของหุ้นที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนได้ดี พร้อมวางกลยุทธ์สะสมหุ้นไทย รับเศรษฐกิจโลกถดถอย
โลกและเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้การลงทุนมีความท้าทายและยากมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์ลงทุน เช่น เลือกจังหวะลงทุนให้เหมาะสม เน้นหุ้นที่เติบโตไปกับเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น รวมถึงเน้นบริหารความเสี่ยง เพื่อจำกัดความเสี่ยงหรือความเสียหายให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด
วางกลยุทธ์สะสมหุ้นไทย
ปัจจุบันนักลงทุนกำลังอยู่ในช่วงที่โลกไม่สงบ ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงมากขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2565 ด้วยสาเหตุจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวเร็วพร้อมกันทั่วโลก ความเสี่ยงในยุโรปที่กำลังเผชิญกับวิกฤติพลังงาน เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวอย่างมาก และปัญหาอุปทานคอขวดมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้บรรยากาศการลงทุนมีความท้าทายและยากมากขึ้น โดยนักลงทุนที่มีความหวาดกลัวช่วงอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นก็จะชะลอการลงทุน ขณะที่นักลงทุนบางกลุ่มพยายามลงทุนในประเทศที่มีปัญหาน้อยหรือได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกน้อยที่สุด
ตลาดหุ้นไทยยังลงทุนได้หรือไม่
คำถามที่ตามมา คือ ตลาดหุ้นไทยยังลงทุนได้หรือไม่ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โลกที่มีความไม่แน่นอนและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเงินเฟ้อโลกที่สูงขึ้น ธนาคารกลางของแต่ละประเทศส่วนใหญ่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เงินบาทอ่อนค่า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากมองภาพรวมเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบแบบ “เฉี่ยว ๆ” ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง จึงประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยสามารถค่อย ๆ ปรับขึ้นได้ ขณะที่เงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและเริ่มเห็นการปรับลดลง ที่สำคัญคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวประมาณ 3% สะท้อนได้ว่าภาวะเศรษฐกิจและการเงินของไทยกำลังผ่านจุดต่ำสุด
เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้น โดยประเมินว่าตลาดหุ้นไทยได้ทำจุดต่ำสุดไปแล้วที่ 1,533.37 จุด (เดือนกรกฎาคม 2565) ซึ่งหากมองโลกในแง่ดี หมายความว่า ราคาตลาดปัจจุบันในภาพรวมอาจไม่มีการปรับตัวลดลงกว่าจุดนี้อีก แต่ด้วยสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนและการฟื้นตัวยังไม่เต็มที่ ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยในระยะกลางมีความยืดหยุ่น (Resilient) และเล็งเห็นแนวโน้ม Upside เล็กน้อย รวมถึงงบดุลของบริษัทจดทะเบียนยังไม่ขยายตัว ธนาคารในประเทศมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง และ Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบทางอ้อมที่ภาวะเศรษฐกิจเป็นขาลงและช่วยจำกัด Downside Risk ได้
หากพูดถึงความโดดเด่นของตลาดหุ้นไทย คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยครึ่งปีแรกของปี 2565 เติบโต 8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และเชื่อว่ารายได้จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 3 ปีของนี้ซึ่งมาจากฐานที่ต่ำ ส่วนความกังวลให้จับตากับแรงกดดันต่อกำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ซึ่งมีสาเหตุมาจากต้นทุนที่สูงขึ้นและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง แต่ในภาพรวมประเมินว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะเติบโตประมาณ 15.8% จากปีก่อนหน้า
จุดเข้าซื้อ คือ ไตรมาส 4 ปี 2565
ประเมินว่าไตรมาส 3 ปีนี้เป็นช่วงของจุดต่ำสุด โดยดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงต่ำสุดในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากนั้นปัจจัยลบต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายจึงทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้น ช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้จึงเป็นจุดที่ควรเริ่มสะสมหุ้น โดยจุดที่น่าเข้าซื้อ คือ ดัชนีหุ้นไทยระดับ 1,550 จุด
จากสถิติของตลาดหุ้นไทยพบว่า ในช่วงปี 2533-2562 ไตรมาส 4 เป็นไตรมาสที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละปี โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 4.1% ขณะที่ไตรมาส 1-3 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 1.9%, 2.5% และ -2.1% ตามลำดับ แม้ว่าตลาดหุ้นจะเผชิญกับภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาคที่อ่อนแอ แต่ราคาหุ้นได้สะท้อนนโยบายการเงินแบบตึงตัวไปค่อนข้างมากแล้วและสะท้อนการเติบโตของกำไรที่ชะลอตัวไปบ้างแล้ว รวมถึงดัชนีหุ้นไทยได้ปรับฐานลงมาแล้วประมาณ 2% และตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานลงมาแล้วประมาณ 20%
ทั้งนี้ แม้ว่า Upside มีจำกัด แต่ควรเข้าลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่และกลุ่มหุ้นเชิงรับที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศที่มีโมเมนตัมแข็งแกร่ง ในขณะที่กลุ่มหุ้นที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งและงบดุลแข็งแรงอาจช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565
ลักษณะเด่นของหุ้น 4 ประการที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนได้ดี
โดยลักษณะเด่นของหุ้น 4 ประการที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดในไตรมาส 4 ของปีนี้ ได้แก่
- มีอำนาจในการกำหนดราคาสูงและงบดุลดี มีความแข็งแกร่ง จะช่วยป้องกันผลกระทบจากแรงกดดันด้านต้นทุนสูงและความเสี่ยงจากภายนอก
- ดึงดูดอุปสงค์ภายในประเทศและได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศที่จะขยายตัวมากขึ้นในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยว
- มีผลการดำเนินงานที่มีการเติบโตอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง จะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง
- มีความทนทานในทุกสภาวะตลาด (หุ้นเชิงรับ) ยังคงเก็บหุ้นเชิงรับไว้จนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะหยุดขึ้นดอกเบี้ย และยืนยันว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นปรับลดลง
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
วางกลยุทธ์สะสมหุ้นไทย : สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ Chief Research Officer บล.ไทยพาณิชย์
ขอบคุณ : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- หุ้นรับอานิสงส์ ‘ฟุตบอลโลก 2022’
- ‘OR’ เห็นโอกาส ดัน ‘โอ้กะจู๋’ เข้าตลาดหุ้น
- ไม่ใช่ปีทองของ ‘หุ้น IPO’ ราคาต่ำจองกว่าครึ่งกระดาน