Stock

หุ้น MINT ร่วงแรง! โอกาสสะสมหรือถอยยาว

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น MINT หรือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) มีการปรับลดลงอย่างรวดเร็ว ในช่วงระหว่างวันที่ 13 กันยายน จนถึง 16 กันยายน 2565 พบว่า ราคาหุ้นลดลงจาก 30.50 บาท ลดลงกว่า 10% เหลือเพียง 27.50 บาท นับเป็นราคาต่ำที่สุดในรอบปีเลยทีเดียว และตั้งแต่วันที่ 19-22 กันยายน 2565 ราคาหุ้นปิดอยู่ที่ระหว่าง 27.50 -28.00 บาท ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 ราคาปิดอยู่ที่ 28.25 บาท 

คำถามคือเกิดอะไรขึ้นกับหุ้น MINT เพราะนี่ก็ผ่านพ้นช่วงที่แย่ที่สุดของโควิด-19 ไปแล้ว และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวก็กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถือว่าเป็นผลบวกต่อธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ของบริษัท

ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2/65 ก็ยังสามารถพลิกมีกำไรครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดโควิด-19 ที่ 1,561 ล้านบาท เนื่องจากทั้ง 3 หน่วยธุรกิจมีสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่ฟื้นตัว โดยธุรกิจโรงแรม โตตามการเดินทางเพื่อการพักผ่อนและการเดินทางเพื่อธุรกิจ ส่วนธุรกิจอาหารและธุรกิจไลฟ์สไตล์ได้รับแรงผลักดัน จากกิจกรรมการขายที่เพิ่มขึ้นในไทยและออสเตรเลีย และจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นของร้านค้าแฟชั่น

โอกาสสะสมหรือถอยยาว e1664025559453

สาเหตุหุ้น MINT ร่วงแรง

ทว่าสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง มีต้นเหตุมาจากสถาบันทางการเงินระดับโลก “เครดิตสวิส”  (Credit Suisse) ปรับลงน้ำหนักการลงทุน (Underweight) หุ้น MINT เหลือราคาเป้าหมายเพียง 25.50 บาท จากเดิมเคยให้ไว้สูงถึง 39 บาท ทำให้เป็นจิตวิทยาเชิงลบต่อราคาหุ้นในตลาดนั่นเอง

ประเด็นหลักที่ “เครดิตสวิส” ปรับลดคำแนะนำ คือ ความกังวลต่อเศรษฐกิจยุโรปที่ชะลอตัว เพราะกำลังเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากราคาพลังงานที่ปรับขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อลดลงและการใช้จ่ายในการท่องเที่ยวชะลอลงด้วย พร้อมมองว่าในอีก 2-3 ไตรมาสข้างหน้า ยุโรปกำลังจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)

ขณะเดียวกันจากค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าเท่าตัว จะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจโรงแรมด้วย ซึ่งค่าไฟคิดเป็นราว 4-5% ของต้นทุนรวม ปัจจุบัน MINT มีธุรกิจโรงแรมอยู่ในยุโรป คิดเป็นรายได้กว่า 70% ของพอร์ตธุรกิจโรงแรมทั้งหมดของบริษัท

ทั้งนี้ บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่าประเด็นเรื่องค่าไฟจะส่งผลกระทบเล็กน้อย (Slightly Negative) ต่อหุ้น MINT แต่ในระยะสั้นแนะนำให้หลีกเลี้ยงการลงทุนชั่วคราว (wait and see) โดยรอให้สถานการณ์ในยุโรปมีความคลี่คลายมากขึ้นก่อน จึงเป็นโอกาสเข้าซื้อในระยะยาว มองราคาหุ้นปัจจุบันตอบรับปัจจัยลบไปค่อนข้างมากแล้ว

เจาะพอร์ตธุรกิจ MINT

MINT มีโครงสร้างธุรกิจหลักแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ โรงแรม ร้านอาหาร และแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ โดยมีสัดส่วนรายได้ ดังนี้

โครงสร้างธุรกิจหลัก 3 ส่วน@300x 100

1.  ธุรกิจโรงแรม คิดเป็นสัดส่วน 66% ของรายได้ทั้งหมด
ประกอบด้วยโรงแรม 535 แห่ง จำนวนห้องทั้งหมด 75,621 ห้อง ภายใต้แบรนด์ Anantara, AVANI, TIVOLI, NH Hotel, NH Collection, nhow และ OAKS

2. ธุรกิจร้านอาหาร คิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้ทั้งหมด
ประกอบด้วยร้านอาหาร จำนวน 2,389 สาขา ใน 26 ประเทศทั่วโลก ภายใต้ 10 แบรนด์หลัก The Pizza Company, Swensens, Sizzler, Dairy Queen, Burger King, The Coffee Club, Thai Express,
Jiang Bian Cheng Wai, Benihana และ Bon Chon

3.  ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้า คิดเป็นสัดส่วน 4% ของรายได้ทั้งหมด
ประกอบด้วยร้านจัดจำหน่ายสินค้า 386 ร้านในไทย ภายใต้แบรนด์ Anello, Esprit, Bossini, Charles & Keith, Etam, OVS และ Redley

สำหรับสัดส่วนรายได้ตามภูมิภาค จะมาจากประเทศไทยเป็นหลักที่ 63% ออสเตรเลีย 12% จีนร 12% และประเทศอื่นๆ เช่น ยุโรป อีก 15%

ในช่วงที่ผ่านมา MINT เพิ่งประกาศแผนการลงทุน 3 ปี โดยตั้งงบไว้ที่ 2.64 หมื่นล้านบาท เน้นกลยุทธ์แบบ Asset-Light กระจายที่ตั้งทั่วทุกภูมิภาคของโลก ทั้งเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกาใต้ และโอเชียเนีย เนื่องจากไม่ต้องเสี่ยงกับการใช้เงินลงทุนสูง คุ้มกับอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับ อย่างไรก็ตามในอนาคตเมื่อบริษัทมีงบดุลที่แข็งแกร่งกว่านี้ สถานการณ์และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจดีขึ้น ก็อาจจะกลับมาขยายงานเชิงรุกได้มากกว่านี้

กลับมาคำถามที่ว่าสถานการณ์แบบนี้ ควรเข้าสะสมหุ้นราคาถูก หรือถอยเพื่อดูสถานการณ์ก่อนดี ก็ต้องตอบว่ายังมีเสียงแตกในประเด็นนี้อยู่สมควร แต่ที่แน่ๆ เราจะเห็นเลยว่ากลุ่มนักลงทุนต่างพากันปรับราคาเป้าหมายหุ้น MINT ลงไปแล้ว สอดคล้องกันนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศที่ทยอยขายหุ้นล๊อตใหญ่ออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งสวนทางกับนักลงทุนรายย่อยในประเทศที่ใช้โอกาสนี้เก็บหุ้น MINT เข้าพอร์ตกันอย่างหนาแน่น

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน