ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ของสหรัฐ ปิดซื้อขายวานนี้ (17 มิ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ “ดาวโจนส์” ร่วงลง เหตุนักลงทุนยังกังวล ถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นมา จากการที่ ธนาคารกลางทั่วโลกพยายามขึ้นดอกเบี้ย เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 29,888.78 จุด ลดลง 38.29 จุด หรือ 0.13% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,674.84 จุด เพิ่มขึ้น 8.07 จุด หรือ 0.22% และดัชนี แนสแด็ก ปิดที่ 10,798.35 จุด เพิ่มขึ้น 152.25 จุด หรือ 1.43%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 4.6% เอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 5.8% และแนสแด็กร่วงลง 4.8% โดยดัชนีทั้ง 3 ตัวติดลบเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกันแล้ว
ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงถูกกดดัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่า ภาวะเงินเฟ้อที่ระดับสูง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่าง ๆ อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวเข้าสู่ภาวะถดถอย และอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนด้วย
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ต่างก็ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงอย่างรุนแรง และร่วงลงรายสัปดาห์เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์มากที่สุด นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 โดยถูกกดดันจากความวิตกที่ว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันดิบ ส่วนหุ้นบวกนำตลาดได้แก่กลุ่มบริการด้านการสื่อสาร และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดเมื่อวานนี้ เป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากตรงกับวัน quadruple witching ซึ่งเป็นวันครบกำหนดส่งมอบออปชันและสัญญาล่วงหน้ารายไตรมาสของหุ้น และดัชนีต่าง ๆ พร้อมกัน ก่อนตลาดปิดทำการในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ (20 มิ.ย.) เพื่อชดเชยวันจูนทีนธ์ (Juneteenth) ของสหรัฐ ซึ่งเป็นวันหยุดเพื่อฉลองการสิ้นสุดความเป็นทาสของชาวแอฟริกันอเมริกัน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐที่เปิดเผยในวันศุกร์ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพฤษภาคม หลังจากพุ่งขึ้น 1.4% ในเดือนเมษายน
ทั้งนี้ ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวม เป็นการวัดการปรับตัวของภาคโรงงาน เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค โดยการผลิตของภาคโรงงานลดลง 0.1% ในเดือนที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนเมษายน ส่วนการผลิตในภาคเหมืองแร่เพิ่มขึ้น 1.3% และภาคสาธารณูปโภคพุ่งขึ้น 1.0%
นอกจากนี้ Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ปรับตัวลง 0.4% ในเดือนพฤษภาคม สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากปรับตัวลง 0.4% เช่นกันในเดือนเมษายน
ดัชนี LEI ถือเป็นสิ่งบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ โดยคำนวณจากตัวเลขเศรษฐกิจ 10 รายการ ซึ่งรวมถึงราคาหุ้น คำสั่งซื้อใหม่ของภาคการผลิต การอนุญาตสร้างบ้าน ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน และความเชื่อมั่นผู้บริโภค
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- กังวลหนัก! เศรษฐกิจสหรัฐ ไตรมาส 1 หดตัว 1.4% หวั่นมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอย
- ‘มอร์แกน สแตนลีย์’ ชี้ ‘เศรษฐกิจสหรัฐ’ เสี่ยงถดถอย 50% แต่มั่นใจ ‘เฟด’ คุมเงินเฟ้อได้
- ยังไม่จบ! ‘เฟด’ ส่งสัญญาณ ‘ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง’ หลังปรับ 0.75% ครั้งใหญ่สุดรอบ 28 ปี