Stock

สภาธุรกิจตลาดทุน ค้านเก็บภาษีขายหุ้น หวั่นกระทบนักลงทุน 19 ล้านคน

บอร์ดสภาธุรกิจตลาดทุนไทย มีมติจัดทำหนังสือถึงกระทรวงการคลัง คัดค้ายการเก็บภาษีขายหุ้น

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย มีมติจัดทำหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร ถึงรมว.คลัง เรื่องความเห็นต่อการเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นในตลาดหุ้นไทย เพื่อแสดงเจตนารมย์ของภาคธุรกิจ

ภาษีขายหุ้น

เสนอ 5 แนวทางคัดค้านเก็บภาษีขายหุ้น

ทั้งนี้ ได้เสนอข้อคัดเห็น 5 ประเด็นกรณีภาครัฐจะเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นในตลาดหุ้นไทย ดังนี้

1. ไม่เห็นด้วย ที่จะมีการเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหุ้น เนื่องจากจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพคล่องของตลาด เป็นภาระและส่งผลกระทบต่อการซื้อขาย รวมถึงด้อยค่าหุ้นที่ผู้ถือหุ้นถือครองอยู่

ผู้ที่ได้รับผลกระทบคือ นักลงทุนรายย่อยกว่า 2 ล้านคน ที่ลงทุนทางตรงในตลาดหุ้นไทย และอีก 17 ล้านคนที่ลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนรวมและกองทุนสวัสดิการต่าง ๆ รวมถึงกระทบไปถึงนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างประเทศด้วย

จากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่าการเก็บภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้ประชาชนต้องออมเพิ่มขึ้นอีก 2-3 ปี เพื่อให้มีเงินเพียงพอในยามเกษียณ ซึ่งเห็นผลของการกระทบในวงกว้างที่ชัดเจน

นอกจากนี้ สภาพคล่องยังเป็นหัวใจสำคัญของตลาดทุน ถ้ามีมาตรการที่เข้ามากระทบสภาพคล่องอย่างรุนแรง ถือว่าน่าจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ทำให้ความน่าสนใจลดลง และจะกระทบเป็นลูกโซ่ โดยเฉพาะมูลค่าหุ้นต่างๆ มีโอกาสลดลงได้

ไพบูลย์ นลินทรางกูร
ไพบูลย์ นลินทรางกูร

2. ภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น จะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับ Market Markers ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตลาดทุนใหม่ ๆ โดยเฉพาะ Derivative Wartant และ Single Stock Futures ซึ่งอ้างอิงหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ จะส่งผลต่อการพัฒนานวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยในเวทีโลก ทำให้พัฒนาการต่อตลาดหุ้นไทยอาจถอยหลังไปได้

3. ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศที่พัฒนาแล้ว หากจัดเก็บภาษี จะนิยมให้การยกเว้นแก่กลุ่ม Market Markers เช่น ฮ่องกง อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน

รวมทั้งกลุ่มกองทุนรวม กองทุนบำนาญ กองทุนสวัสดิการ เช่น อิตาลี สวิตเซอร์แลด์ เบลเยี่ยม ไอซ์แลนด์ เพื่อลดผลกระทบต่อการออมการลงทุนของประชาชนในวงกว้าง และต่อการพัฒนาเชิงนวัตกรรมของตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ

ในกรณีของประเทศไทย นักลงทุนทั้ง 2 กลุ่มทำธุรกรรมขายรวมกัน 12-17% ของมูลค่าขายทั้งหมดในตลาด (สถาบันในประเทศ 7% และ Market Markers 5-10%)

ดังนั้นการให้ยกเว้นภาษีต่อไปถือว่าคุ้มค่าหากเปรียบเทียบเม็ดเงินภาษีดังกล่าวกับผลประโยชน์ในวงกว้างต่อประชาชนและการพัฒนาศักยภาพของตลาดหุ้นไทยในระยะยาว

4. อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ 0.1% ถูกกำหนดขึ้นตั้งแต่ปี 2534 เมื่ออัตราค่าคอมมิชชั่นอยู่ที่ระดับ 0.5% อย่างไรก็ดีจากสภาวะการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศที่มีมากขึ้น อัตราค่าคอมมิชชั่นจึงลดลงเหลือเพียง 0.08% ในปัจจุบัน

ดังนั้นมูลค่าภาษีที่จัดเก็บตามอัตราภาษีที่ 0.1% และเมื่อรวมภาษีท้องถิ่นอีก 0.01% เป็น 0.11% จะสูงถึง 0.7 เท่าของมูลค่าค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่จัดเก็บในปัจจุบัน จึงจะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อขายอย่างมีนัยสำคัญ

shutterstock 614362688

ที่สำคัญ ในภาวะที่ตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนสูง จากสถานการณ์โควิดและสงครามรัสเซียและยูเครน รวมทั้งการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งผลให้ดัชนีหุ้นทั่วโลก อัตราแลกเปลี่ยน และเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเหศ มีความผันผวนมาก การจัดเก็บกาษีขายหุ้น จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความผันผวนดังกล่าว

5. ต้นทุนการระดมทุน (cost of capital) ที่สูงขึ้น เมื่อสภาพคล่องในตลาดลดลง จะทำให้บริษัทจดทะเบียนชะลอ หรือลดการลงทุนและขยายธุรกิจ ทำให้มีกำไรลดลง

ท้ายที่สุด productivity และ GDP ของประเทศ รวมตลอดถึงภาษีนิติบุคคลที่บริษัทจ่ายได้ให้ภาครัฐจะลดลงตามไปด้วย

ผลเสียจะกระทบแรงกับกลุ่มบริษัทขนาดกลางและเล็กที่มีทางเลือกของแหล่งเงินทุนที่จำกัดมากอยู่แล้วในปัจจุบัน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo