PTTEP หุ้นรับประโยชน์ ราคาน้ำมันแพง สงครามรัสเซีย-ยูเครน เมื่อราคาน้ำมันเป็นขาขึ้น ได้รับประโยชน์เต็มที่ ขณะน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส เมื่อ 4 มี.ค. 65 ราคาสูงสุดในรอบ 14 ปี
ราคาน้ำมันดิบเป็นของคู่กันกับธุรกิจด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เป็นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงที่สุด จากการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันเป็นขาขึ้น ก็ได้รับประโยชน์เต็มที่ กลับกันถ้าช่วงไหนที่ราคาน้ำมันเป็นขาลงธุรกิจประเภทนี้ก็จะได้รับผลกระทบมากกว่าใคร
จากสถานการณ์ที่กองกำลังทหารรัสเซียบุกเข้าโจมตีประเทศยูเครน เป็นปัจจัยเร่งให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อมูล ณ วันที่ 4 มีนาคม 2564 ราคาน้ำมันดิบสัญญาเวสต์เท็กซัส (WTI) ทะลุ 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็นระดับราคาสูงสุดในรอบ 14 ปี เนื่องจากรัสเซียถือว่า เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ขณะที่มีการหลีกเลี่ยงการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย หลังจากที่หลายประเทศ ประกาศคว่ำบาตรทางการค้าต่อรัสเซีย เพราะฉะนั้น จากอุปทานน้ำมันที่ลดลง จึงส่งผลให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง
ในแง่ของการลงทุนแล้ว หุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากเรื่องนี้ไปเต็มๆ คงหนีไม่พ้น PTTEP หรือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เพราะเป็นผู้นำในธุรกิจด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย ซึ่งเคยมีการวิเคราะห์เบื้องต้นว่า ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นทุกๆ 1 ดอลลาร์ จะหนุนกำไรของ PTTEP ให้เพิ่มขึ้นปะมาณ 800 – 900 ล้านบาท
สำหรับ PTTEP ดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 35% ของปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย ปัจจุบันมีปริมาณขายอยู่ที่ 416 พันบาร์เรล/วัน (KBOED) และวางเป้าหมายเพิ่มปริมาณขายเป็น 528 KBOE ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น PTTEP ในรอบสัปดาห์ที่มีเหตุการณ์รัสเซีย-ยูเครน (29 ก.พ. – 4 มี.ค.) ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 10.30% ราคาปิดในรอบสัปดาห์ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 150.50 บาทต่อหุ้น โดยทำสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปี 6 เดือน ทำให้ผู้ถือที่หุ้น PTTEP ได้รับประโยชน์จากประเด็นนี้ไปเต็มๆ
เราจะเห็นว่าธรรมชาติของหุ้นตัวนี้ เป็นหุ้นวัฏจักรที่ผันผวนตามราคาน้ำมันเป็นปกติ และมักจะถูกเลือกเป็นเป้าหมายแรกๆ ของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบัน P/E Ratio เทรดกันอยู่ที่ 15.37 เท่า และมีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ 3.32% ขณะที่ผลประกอบการปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 38,863 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนตามทิศทางของราคาน้ำมันนั่นเอง
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิระหว่างปี 2565-2566 ขึ้นเฉลี่ย 4% ต่อปี จากราคาน้ำมันดิบตั้งแต่ต้นปี ที่ปรับตัวขึ้นรวดเร็วกว่าที่เคยประเมินไว้ รวมทั้งคาดว่าราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ในระดับสูง เพราะหลายประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางมีปัญหาเรื่องการผลิต และความยืดเยื้อของปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน
พร้อมทั้งประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 1/2565 มีโอกาสเติบโตโดดเด่น จากปัจจัยหนุนของทิศทางราคาน้ำมัน ประกอบกับปริมาณยอดขายที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยังคาดว่าต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มลดลงอยู่ในช่วง 27-28 ดอลลาร์/BOE เพราะในช่วงไตรมาส 1 ของทุกปี มักจะเป็นไตรมาสที่ต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับภาพรวมทั้งปี
สุดท้ายนี้จะเห็นว่าหุ้นตัวนี้อยู่ในความน่าสนใจของนักลงทุนอย่างมาก โดยเฉพาะกข้ามาเก็งกำไรตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ สิ่งที่ควรระวังก็คือราคาเหมาะสม ที่ต้องประเมินให้กันให้ดีๆ ว่าเกินมูลค่าพื้นฐานไปแล้วหรือยัง และเราต้องตอบให้ได้ว่า มีเป้าหมายเข้าลงทุนในลักษณะไหนระหว่างการถือในระยะยาว หรือปรับมาเก็งกำไรระยะสั้นตามราคาน้ำมัน
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- สรุปงบครบทุกตัว กำไรปี 2564 หุ้น 20 อันดับแรกในตลาด
- สำรวจ ‘7 หุ้นโรงกลั่น’ พร้อมเช็คอนาคตการลงทุนปีนี้
- ‘IRPC’ ทุ่มกว่า 4 หมื่นล้านบาท ขับเคลื่อนกลยุทธ์ลงทุน 5 ปี มุ่งสู่องค์กร Net Zero Emission