Stock

‘ดาวโจนส์’ ปิดร่วง 179.86 จุด วิตกสงครามยูเครน ยังกดดันตลาด

ตลาดหุ้นสหรัฐ ปิดซื้อขายเมื่อวานนี้ (4 มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ ดัชนีหลักทั้ง 3 ตัว รวมถึง “ดาวโจนส์” ร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามในยูเครน แม้มีการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐ ที่พุ่งขึ้นเกินคาด ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งก็ตาม

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 33,614.80 จุด ลดลง 179.86 จุด หรือ 0.53%, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,328.87 จุด ลดลง 34.62 จุด หรือ 0.79% และดัชนีแนสแด็กปิดที่ 13,313.44 จุด ลดลง 224.50 จุด หรือ 1.66%

ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ และเอสแอนด์พี 500 ลดลง 1.3% ขณะที่ดัชนีแนสแด็กลดลง 2.8%

ดาวโจนส์

หุ้นทั้ง 11 กลุ่มในดัชนี เอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลง โดยกลุ่มการเงินร่วงลง 2% เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่าการคว่ำบาตรรัสเซีย อาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงินระหว่างประเทศ  โดยหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง 3.35% เมื่อวานนี้  และร่วงลงเกือบ 9% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการลดลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย หลังกองกำลังรัสเซียยึดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดของยุโรปในประเทศยูเครน ซึ่งสหรัฐระบุว่าเป็นการโจมตีที่ประมาท ซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติตามมา

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลง แม้กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 678,000 ตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 440,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 3.8% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.9%

ซาชารี ฮิลล์ หัวหน้าฝ่ายจัดการพอร์ตลงทุนของฮอริสัน อินเวสเมนต์ระบุว่า แนวโน้มการขยายตัวของสงคราม, ผลกระทบทางเศรษฐกิจในยุโรปและในวงที่กว้างมากขึ้น รวมทั้งผลกระทบต่อสินค้าโภคภัณฑ์และเงินเฟ้อนั้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม วิกฤตในยูเครนหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ทะยานขึ้น หลังการคว่ำบาตรรัสเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ โดยหุ้นกลุ่มพลังงาน พุ่งขึ้น 2.85% และบวกขึ้นราว 9% ในรอบสัปดาห์นี้

แต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้นทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง โดยนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ว่า เขาจะสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายของเฟดวันที่ 15-16 มีนาคมนี้ และพร้อมที่จะดำเนินการในเชิงรุกมากขึ้นในระยะต่อไป หากอัตราเงินเฟ้อไม่ลดลงเร็วตามคาด

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo