Stock

‘น้ำมัน-ทองคำ’ ยังพุ่ง รับข่าววิกฤติยูเครน ส่อเค้ารุนแรง ‘ดาวโจนส์’ ร่วงเกิน 400 จุด

ราคาน้ำมัน และทองคำ ในตลาดสหรัฐ เมื่อวานนี้ (23 ก.พ.) ยังปิดในแดนบวก แรงหนุนจากความกังวลในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครน กับรัสเซีย ที่ส่อเค้าทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเดียวกัน ที่กดดันตลาดหุ้น ทำให้ “ดาวโจนส์” ร่วงกว่า 400 จุด  

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์ก กำหนดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 19 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 92.10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ กำหนดส่งมอบเดือนเดียวกัน ปิดทรงตัวที่ระดับ 96.84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557

บรรดานักลงทุน ยังคงจับตาวิกฤตการณ์ในยูเครน โดยมีรายงานว่า รัสเซียได้เริ่มอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากสถานเอกอัครราชทูตประจำกรุงเคียฟ ประเทศยูเครนแล้ว ทั้งยังปลดธงชาติลงจากสถานทูตด้วย

LINE ALBUM ทองคำน้ำมัน หุ้น ๒๒๐๒๒๔

การอพยพเจ้าหน้าที่ทูตรัสเซียดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ยูเครนประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 30 วัน และประกาศเกณฑ์ทหารกองหนุนเพื่อรับมือกับการโจมตีจากรัสเซีย

ขณะที่วุฒิสภารัสเซียมีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน สามารถใช้กองทัพรัสเซียออกปฏิบัติการนอกประเทศเพื่อให้การสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในยูเครน

ทางด้านสหรัฐ สหภาพยุโรป อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา และญี่ปุ่น ต่างก็ได้ออกมาตรการตอบโต้รัสเซียด้วยการคว่ำบาตรธนาคารบางแห่ง และนักธุรกิจบางราย ขณะที่เยอรมนีประกาศระงับการอนุมัติโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ Nord Stream 2 เป็นการชั่วคราว

ความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นดังกล่าว ทำให้นักลงทุน พากันเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หนุนราคาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเมษายน  เพิ่มขึ้น 3 ดอลลาร์ หรือ 0.16% ปิดที่ 1,910.4 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ขณะที่ ตลาดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนัก โดยที่ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,131.76 จุด ลดลง 464.85 จุด หรือ 1.38%, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,225.50 จุด ลดลง 79.26 จุด หรือ 1.84% และดัชนีแนสแด็กปิดที่ 13,037.49 จุด ลดลง 344.03 จุด หรือ 2.57%

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐระบุว่า สหรัฐยังไม่เห็นสัญญาณใด ๆ ที่แสดงว่ารัสเซียจะล่าถอย ขณะที่ทำเนียบขาวระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่มีความตั้งใจที่จะส่งทหารสหรัฐไปสู้รบในยูเครน

นอกจากเรื่องยูเครนแล้ว นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคุมเข้มนโยบายการเงินเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยยังจับตาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ ซึ่งอาจเร็วและแรงกว่าที่คาดไว้ เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo