Stock

เกาะติดวิกฤติยูเครน ฉุด ‘ดาวโจนส์’ ร่วง

ดัชนีดาวโจนส์พลิกร่วงลงสู่แดนลบ หลังพุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในช่วงแรก โดยปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นในยูเครน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 33,492.02 จุด ลดลง 104.59 จุด หรือ 0.31% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 4,284.69 จุด ขยับลงมา 20.07 จุด หรือ 0.47% และดัชนีแนสแด็กที่ 13,272.54 จุด ร่วงลง 108.98 จุด หรือ 0.81%

ดาวโจนส์

นักลงทุนกังวลว่ารัสเซียใกล้โจมตียูเครน หลังมีรายงานว่า รัสเซียได้เริ่มอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากสถานเอกอัครราชทูตประจำกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน หลังจากที่กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียประกาศแผนอพยพวานนี้

ช่วงบ่ายวันนี้ตามเวลาในยูเครน ธงชาติรัสเซียไม่ได้โบกสะบัดอยู่เหนือสถานเอกอัครราชทูตรัสเซีย ประจำกรุงเคียฟอีกต่อไป  การอพยพเจ้าหน้าที่ทูตรัสเซียดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ยูเครนประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 30 วัน และประกาศเกณฑ์ทหารกองหนุนเพื่อรับมือกับการโจมตีจากรัสเซีย ขณะที่วุฒิสภารัสเซียมีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน สามารถใช้กองทัพรัสเซียออกปฏิบัติการนอกประเทศเพื่อให้การสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในยูเครน

หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น หุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มธุรกิจเรือสำราญ ต่างร่วงลงในวันนี้ หลังดีดตัวขึ้นในช่วงแรกจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤตยูเครน หลังสหรัฐและชาติตะวันตกออกมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเบากว่าที่คาดไว้

ทั้งนี้ สหรัฐ สหภาพยุโรป อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา และญี่ปุ่น ต่างก็ได้ออกมาตรการตอบโต้รัสเซียด้วยการคว่ำบาตรธนาคารบางแห่ง และนักธุรกิจบางราย ขณะที่เยอรมนีประกาศระงับการอนุมัติโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ Nord Stream 2 เป็นการชั่วคราว

“มาตรการคว่ำบาตรเหล่านี้ไม่รุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ แต่เหมือนเป็นการเตือนมากกว่า” นายโรเบิร์ต ปาฟลิก ผู้จัดการพอร์ทโฟลิโอของดาโกตา เวลท์กล่าว

ด้านนายอีเลม เซนยุซ นักกลยุทธ์ด้านมหภาคของบริษัท Truist ออกรายงานแนะนำให้นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นในขณะนี้ เนื่องจากสถิติที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นมักดีดตัวขึ้น หลังจากร่วงลงจากเหตุการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เว้นแต่ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย

นายเซนยุซระบุว่า ความเสี่ยงในระยะใกล้ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่แนวโน้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นในขณะนี้

“แม้ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ แต่สถิติบ่งชี้ว่าเหตุการณ์ที่เป็นวิกฤตการณ์ทางทหารมีแนวโน้มที่จะทำให้ตลาดเกิดความผันผวน และมักทำให้ตลาดปรับตัวลงในระยะสั้น แต่ตลาดหุ้นก็มักจะดีดตัวขึ้นมาได้ในที่สุด นอกจากว่าเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย” รายงานระบุ

รายงานยังระบุว่า ราคาพลังงานและสินค้าเกษตรที่พุ่งขึ้นจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดเกิดใหม่และเศรษฐกิจยุโรป แต่สหรัฐจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าในอดีต เนื่องจากมีแหล่งพลังงานภายในประเทศ ดังนั้นบริษัท Truist จึงยังคงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐมากกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ

นอกจากนี้ นายเซนยุซเปิดเผยว่า จากการติดตามผลสำรวจความเชื่อมั่นของสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) พบว่า ความเชื่อมั่นที่อยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ มักตามมาด้วยการดีดตัวขึ้นของดัชนี S&P 500 มากกว่า 90% ของช่วงเวลาในระยะ 3-12 เดือนข้างหน้า

นักลงทุนยังคงจับตาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้ ซึ่งอาจเร็วและแรงกว่าที่คาดไว้ เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี

ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 100% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 15-16 มีนาคม

ขณะเดียวกัน ตลาดจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสในวันที่ 2-3 มีนาคมนี้ โดยอาจเป็นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงินต่อสาธารณะเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมหลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่วัน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo