หุ้น BAM หรือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย หรือที่เรียกว่า AMC (Asset Management Companies) โมเดลของธุรกิจนี้จะเป็นการเข้าไปรับซื้อหนี้ที่มีปัญหาหรือสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) เช่น หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ จากสถาบันการเงินต่าง ๆ เพื่อนำมาบริหารจัดการต่อ
ผู้ประกอบธุรกิจบริหารหนี้เสีย มักได้ประโยชน์ในเวลาที่เศรษฐกิจขาลง เนื่องจากจะมีหนี้เสียออกมาให้เลือกซื้อจำนวนมากและราคาถูก ซึ่งเป็นโอกาสที่บริษัทจะได้มีสินทรัพย์ไปบริหารจัดการต่อให้มีประสิทธิภาพ เช่น ทวงถามติดตามหนี้ให้ได้มากกว่าเงินที่จ่ายไป หรือขายหลักทรัพย์ค้ำประกันในราคาสูงกว่าหนี้สินที่ซื้อมา
หุ้นบริหารหนี้เสียมีอยู่ไม่เยอะเท่าไหร่ หรือแทบจะเรียกว่าเป็นตลาดที่มีผู้เล่นน้อยรายก็ว่าได้ (Oligopoly) เพราะลักษณะธุรกิจที่ค่อนข้างเฉพาะทาง ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง จากความเสี่ยงสูงในการบริหารสินทรัพย์ในมือ สำหรับในตลาดหุ้นไทยมีหุ้นกลุ่มนี้หลักๆ 3 บริษัท คือ BAM, JMT และ CHAYO
BAM ถือว่าเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ ด้วยการครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่าครึ่งนึง แต่ทว่าในช่วงปีที่ผ่านมา กลับเป็นหุ้นที่มีราคาเคลื่อนไหวช้าที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ โดยราคาหุ้น BAM ในช่วงปี 2564 ปรับลดลง 1.37% เทรดกันที่ P/E ระดับ 30 เท่า
ตรงกันข้ามกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันอย่าง JMT ที่ราคาในช่วงปี 2564 ปรับเพิ่มขึ้นถึง 110.90% เทรดกันที่ P/E ระดับ 75 เท่า ขณะที่ CHAYO ราคาหุ้นก็ปรับเพิ่มขึ้นถึง 107.32% เทรดกันที่ P/E ระดับ 63 เท่า ซึ่งตลาดให้มูลค่าแตกต่างกันมากทั้งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
จุดที่ทำให้ BAM ไม่สามารถสะท้อนมูลค่าการเติบโตได้ในปีที่ผ่านมา ส่วนตัวมองว่าเนื่องจากบริษัทเน้นซื้อหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น บ้าน คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน แต่ว่าในปี 2565 มีมาตรการช่วยเหลือของรัฐที่ทำให้หนี้ประเภทนี้ออกมาขายน้อย และไม่สามารถยึดสินทรัพย์มาขายทอดตลาด จึงทำให้ยอดซื้อสินทรัพย์ของ BAM ต่ำกว่าเป้า และก็ส่งผลกระทบกับโอกาสสร้างการเติบโตจากรายได้นั่นเอง
แตกต่างจาก JMT และ CHAYO ที่เน้นหนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีหนี้เสียออกมาให้เลือกซื้อจำนวนมาก และมีความคล่องตัวจากมาตรการของรัฐที่ยืดหยุนกว่า ขณะเดียวกันยังให้ Return ที่สูงกว่าอีกด้วย แต่ก็มีความเสี่ยงมากกว่าเช่นกัน ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้ตลาดให้มูลค่ากับ JMT และ CHAYO สูงกว่านั่นเอง
ปีที่น่าจับตามองของหุ้น BAM
แม้ 1-2 ปีที่ผ่านมาหุ้นอาจจะซึมๆ และอยู่ในช่วงขาลง แต่ส่วนตัวแล้วมองว่า BAM อาจกลายเป็นหุ้นที่กลับมาสร้างผลตอบแทนโดดเด่นในปี 2565 เนื่องจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ ดังนี้
ประการแรก BAM เป็นหุ้น Laggard ที่พื้นฐานแข็งแกร่ง เพราะการบริหารหนี้ หรือ Cash Colleciton ยังทำได้ยอดเยี่ยม อีกทั้งบริษัทมีสินทรัพย์ในมืออยู่จำนวนมากจากหนี้เก่าๆ ที่เคยซื้อตุนไว้ในสต็อกและพร้อมขายอยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสสูงที่เราจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2-3 ปีนี้เป็นต้นไป ประกอบกับราคาหุ้นที่ยังไม่แพงและมีปันผล จึงเหมาะเลยสำหรับนักลงทุนที่อยากเข้าถือหุ้นในช่วงเก็บเกี่ยวผลตอบแทน
ประการที่สอง BAM ได้ประโยชน์จากมาตรการส่งเสริมธนาคารพาณิชย์ทำ JV กับบริษัท AMC หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อนุญาตให้สถาบันการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (JV) ร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจบริหารหนี้ (AMC) ประเด็นนี้จะเป็นบวกต่อ BAM เพราะเป็นผู้นำในตลาดนี้ และจะทำให้เข้าถึงหนี้เสียได้เพิ่มขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง โดยเฉพาะหนี้เสียที่มีหลักประกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในระยะยาว
ทั้งนี้ ทางบริษัทเปิดเผยว่าปัจจุบันมีธนาคารพาณิชย์เข้ามาเจรจาแล้วประมาณ 5-7 ราย เบื้องต้นตั้งเป้าหมายเห็นความชัดเจนภายในครึ่งปีแรกของปี 2565 และอาจจะมีการร่วมทำ JV กับสถาบันการเงินมากกว่า 1 ราย ซึ่งเรียกว่าเป็นจุดที่น่าสนใจอย่างมาก แถมยังอาจเป็นอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรสุทธิและการปรับราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ได้อีกด้วย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- GULF กำไรทุบสถิติสูงสุด อนาคตเติบโตโดดเด่นสุด หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า
- รวมหุ้นได้รับประโยชน์ นโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ‘EV Car’
- ‘ปตท.-ฟ็อกซ์คอนน์’ จับมือตั้งบริษัทร่วมทุน ‘HORIZON PLUS’ ยึดอีอีซีฐานผลิต ‘รถยนต์ไฟฟ้า’