Stock

‘ดาวโจนส์’ พักฐานลงทุน รอดูผลประชุมนโยบายเฟด

ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (5 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยดาวโจนส์ เคลื่อนไหวช่วงแคบ ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่เป็นไปอย่างเบาบาง ก่อนหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ จะเปิดเผยผลการประชุมเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายในวันนี้ และหลังจากที่ดาวโจนส์ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 36,874.01 จุด ปรับขึ้น 74.36 จุด หรือ 0.20% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 4,787.47 จุด ลดลง 6.07 จุด หรือ 0.13% และดัชนีแนสแด็กที่ 15,495.38 จุด ร่วงลง 127.34 จุด หรือ 0.82%

ดาวโจนส์ปิดตลาดวานนี้ (4 ม.ค.) พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ขณะที่นักลงทุนยังคงซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น หุ้นกลุ่มสายการบิน และกลุ่มอุตสาหกรรม ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตร และหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดาวโจนส์

วันนี้ ราคาหุ้น เจนเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 1% หลังบริษัทสูญเสียตำแหน่งรถยนต์ขายดีที่สุดในสหรัฐประจำปี 2564 ให้แก่โตโยต้า มอเตอร์ ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งตำแหน่งนี้ จีเอ็มยึดครองมาตั้งแต่ปี 2474 หรือยาวนานถึง 90 ปี

จีเอ็ม ระบุว่า เมื่อปีที่แล้ว บริษัทมียอดขายรถยนต์ในสหรัฐจำนวน 2.2 ล้านคัน ลดลง 12.9% เมื่อเทียบกับปี 2563 ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนชิป ซึ่งทำให้ต้องมีการปิดโรงงานจำนวนมาก

ขณะที่โตโยต้า เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ของบริษัทในตลาดสหรัฐ เมื่อปี 2564 อยู่ที่ 2.3 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 10.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น โดยมียอดขายรถยนต์มากกว่าจีเอ็มจำนวน 114,034 คัน และนับเป็นครั้งแรกที่บริษัทรถยนต์ที่ไม่ใช่ของสหรัฐ สามารถครองตำแหน่งยอดขายสูงสุดในอเมริกา

ทางด้าน ซิตี้กรุ๊ป ออกรายงานระบุว่า ดัชนีเอสแอนด์พี 500 มีแนวโน้มพุ่งขึ้นทะลุ 5,000 จุดในช่วงสิ้นปีนี้ โดยธนาคารได้ปรับเป้าหมายของดัชนีมาอยู่ที่ 5,100 จุด จากรายงานเมื่อเดือนตุลาคม 2564 ที่ประเมินไว้ในระดับ 4,900 จุด โดยให้เหตุผลถึง ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของภาคธุรกิจ ที่ช่วยหนุนขาขึ้นของดัชนี

เมื่อปี 2564 บริษัทต่าง ๆ ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 รายงานผลประกอบการสูงกว่าคาดในปีที่แล้ว โดยมีกำไรพุ่งขึ้น 52.8%, 96.3% และ 42.6% ในไตรมาส 1,2 และ 3 ตามลำดับ เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ไตรมาส 4 คาดว่าจะมีกำไรพุ่งขึ้น 22.3% แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐ การอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้งการดีดตัวขึ้นของราคาสินค้า และการพุ่งขึ้นของอุปสงค์ในตลาด

วันนี้ นักลงทุนยังรอการเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟดประจำเดือนธันวาคม ซึ่งในการประชุมดังกล่าว เฟดมีมติเพิ่มการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมอยู่ที่เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนนี้  ซึ่งจะส่งผลให้เฟดยุติการทำคิวอี ในเดือนมีนาคม 2565

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo