“ดาวโจนส์” ปิดทำนิวไฮที่เหนือระดับ 36,000 จุดเป็นครั้งแรก ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่นักลงทุน ยังจับตาผลการประชุมเฟด ในวันนี้ (3 พ.ย.)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดซื้อขายที่ 36,052.63 จุด เพิ่มขึ้น 138.79 จุด หรือ 0.39% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,630.65 จุด เพิ่มขึ้น 16.98 จุด หรือ 0.37% และดัชนีแนสแด็กปิดที่ 15,649.60 จุด เพิ่มขึ้น 53.69 จุด หรือ 0.34% โดยทั้ง 3 ดัชนีปิดตลาด ทำสถิติใหม่ทั้งหมด
ตลาดหุ้นสหรัฐ เมื่อวานนี้ (2 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดยแม้ว่ามีบริษัทหลายแห่งเปิดเผยถึงปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน แต่ส่วนใหญ่ ยังสามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้ ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ยังช่วยให้ยอดขายของบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวขึ้นด้วย
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดในแดนบวก รวมถึง หุ้นไฟเซอร์ บริษัทยารายใหญ่สุดของสหรัฐ ทะยานขึ้น 4.15% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ในปีนี้ขึ้นอีก 7.5% มาอยู่ที่ 36,000 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ 33,500 ล้านดอลลาร์ โดยขณะนี้วัคซีนต้านโควิด-19 ได้กลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดของไฟเซอร์ในประวัติศาสตร์ 172 ปีของบริษัท
การปรับตัวเลขคาดการณ์ยอดขายดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ไฟเซอร์ ลงนามในข้อตกลงกับหลายประเทศ ในการจำหน่ายวัคซีนเข็มกระตุ้น และจากการที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขของประเทศต่าง ๆ อนุมัติการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์กับเด็ก
หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ผู้ผลิตเครื่องกีฬาและเสื้อผ้ากีฬารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 16.47% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่า ยอดขายในปีงบการเงิน 2564 จะเพิ่มขึ้น 2.5% จากระดับของปีงบการเงิน 2563
หุ้นเทสลา ร่วงลง 3.03% หลังจากเทสลาประกาศเรียกคืนรถยนต์จำนวนเกือบ 12,000 คันที่มีการจำหน่ายในสหรัฐนับตั้งแต่ปี 2560 เนื่องจากมีปัญหาของซอฟต์แวร์ซึ่งอาจทำให้ระบบเบรกฉุกเฉินทำงานผิดปกติ และการร่วงลงครั้งนี้ ยังเกิดขึ้นหลังนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอเทสลา ยอมรับว่า บริษัทยังไม่ได้ลงนามในข้อตกลงกับบริษัทเฮิร์ซเพื่อจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 100,000 คันแต่อย่างใด
นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ในแถลงการณ์หลังการประชุมครั้งนี้ เฟดจะประกาศปรับลดวงเงิน QE เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนนี้ ซึ่งจะทำให้เฟดยุติการทำ QE โดยสิ้นเชิงในกลางปี 2565
น้ำมัน-ทองคำ เดินขาลง
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดียท (WTI) ส่งมอบเดือนธันวาคม ที่ตลาดโภคภัณฑ์นิวยอร์ก ปิดลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.2% ที่ 83.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันเบรนท์ กำหนดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 1 เซนต์ ปิดที่ 84.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นักลงทุนพากันเทขายทำกำไร หลังจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานปริมาณน้ำมันดิบสำรองของสหรัฐในวันนี้ รวมทั้งผลการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) และชาติพันธมิตร หรือโอเปคพลัสในวันพุร่งนี้ (4 พ.ย.)
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางราย แสดงความเห็นว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยคาดว่าแนวรับเฉลี่ยระยะเวลา 50 สัปดาห์ ของราคาน้ำมันดิบ WTI จะอยู่ที่ 64.12 ดอลลาร์ และคาดว่าแนวต้านทางจิตวิทยาจะอยู่ที่ 90-100 ดอลลาร์ จนกว่าราคาจะพุ่งแตะนิวไฮ 107.95 ดอลลาร์ ที่เคยทำไว้ในปี 2557
ทางด้าน ราคาทองคำ กำหนดส่งมอบเดือนธันวาคม ที่ตลาดโคเม็กซ์ ของสหรัฐ ลดลง 6.4 ดอลลาร์ หรือ 0.36% ปิดที่ 1,789.4 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังเจอแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ประกอบกับนักลงทุน พากันรอดูผลการประชุมเฟด และธนาคารกลางอังกฤษ ในสัปดาห์นี้
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- จับตาประชุมเฟด 2-3 พ.ย. ลดวงเงินคิวอี
- ซีอีโอทวิตเตอร์ ชี้ ทั่วโลกเสี่ยงเจอ ‘ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง’ เร็ว ๆ นี้
- ‘ดาวโจนส์’ แกว่งตัวช่วงแคบ จับตาผลประชุม ‘เฟด’ ชี้ชะตามาตรการ ‘QE’