หุ้นสัปดาห์หน้า แนวโน้มแกว่งในกรอบ 1,600-1,635 จุด ขณะรอผลประชุมเฟด ขณะที่ค่าเงินบาท แนวโน้มแข็งค่า จ่อหลุด 33 บาท/ดอลลาร์
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองใน หุ้นสัปดาห์หน้า (1-5 พฤศจิกายน) ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,600 และ 1,590 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,635 และ 1,650 จุด ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (1 พฤศจิกายน) การประชุมเฟด (2-3 พฤศจิกายน) การประชุม OPEC+ (4 พฤศจิกายน) สถานการณ์โควิด ทิศทางเงินลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงผลประกอบการไตรมาส 3/64 ของบจ.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร และอัตราการว่างงานเดือนต.ค. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนตุลาคม ของญี่ปุ่น ยูโรโซนและจีน ตลอดจนยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนกันยายนของยูโรโซน
หุ้นไทยร่วงลงแรงจากสัปดาห์ก่อน โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,623.43 จุด ลดลง 1.22% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 70,950.70 ล้านบาท ลดลง 10.19% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.18% มาปิดที่ 558.65 จุด
หุ้นไทยร่วงลงแรงช่วงต้นสัปดาห์ ทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค ประกอบกับมีรายงานข่าวว่าพบโควิดสายพันธุ์ย่อยของเดลตาในไทย รวมถึงแรงเทขายของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาติ
ทั้งนี้ หุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นได้ช่วงสั้นๆก่อนจะร่วงลงอีกครั้งตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์ เนื่องจากไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ๆเข้ามา ประกอบกับมีแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มพลังงาน/ปิโตรเคมีตามทิศทางราคาน้ำมันโลกที่ย่อตัวลง ตลอดจนแรงขายลดเสี่ยงของนักลงทุนก่อนการประชุมเฟด ซึ่งประเมินว่าอาจจะมีการประกาศปรับลดวงเงินการทำ QE
สำหรับค่าเงินบาท ในสัปดาห์ถัดไป (1-5 พฤศจิกายน) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 32.70-33.70 บาทต่อดอลลาร์
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางอังกฤษ ทิศทางเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ และสถานการณ์โควิด-19
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนตุลาคม ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน รายจ่ายด้านการก่อสร้างเดือนกันยายน และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนตุลาคม ของจีน ยูโรโซน อังกฤษด้วยเช่นกัน
เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบผันผวน แต่มีทิศทางแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับสถานะซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ
ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุนหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ย่อตัวลงมาอยู่ต่ำกว่าระดับ 1.60% อย่างไรก็ดีเงินบาทอ่อนค่าลงช่วงสั้นๆ กลางสัปดาห์ตามค่าเงินหยวนและสกุลเงินเอเชียท่ามกลางความกังวลต่อสัญญาณเปราะบางของตลาดอสังหาริมทรัพย์จีน แต่เงินบาทสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าอีกครั้งช่วงปลายสัปดาห์ หลังเงินดอลลาร์ฯ ถูกดดันจากข้อมูลจีดีพีไตรมาส 3 ของสหรัฐฯ ที่ขยายตัวต่ำกว่าที่ตลาดคาด
ในวันศุกร์ (29 ตุลาคม) เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ระดับ 33.20 เทียบกับระดับ 33.39 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันพฤหัสบดีก่อนหน้า (21 ตุลาคม)
อ่านข่าวเพิ่มเติม:
- ราคาทองคำเช้าวันเสาร์ร่วงต่อ 50 บาท เทขายลดความเสี่ยง รอประชุมเฟด
- ‘ดาวโจนส์’ ทะยานต่อเนื่อง จับตาบริษัทจดทะเบียน เปิดผลประกอบการ
- ‘บิ๊กตู่’ ปลื้มต่างชาติเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย-หนุนเปิดประเทศ 1 พ.ย. นี้