Stock

โควิดไม่กระทบกรุงไทย กำไรสุทธิไตรมาส 3 พุ่ง 65.4% รวม 9 เดือน 1.66 หมื่นล้าน

กรุงไทยประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2564 มีกำไรสุทธิ 5,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สินเชื่อเติบโตอย่างแข็งแกร่งพร้อมบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด คงการตั้งสำรองในระดับสูง

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB เปิดเผยว่า  จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังเผชิญความท้าทายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  ธนาคารและบริษัทย่อยจึงใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ

กรุงไทย

โดยพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss) ในระดับสูง บริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิดและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ พร้อมให้ความสำคัญกับการดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น ประคองธุรกิจให้อยู่รอดและกลับมาเติบโตได้ในระยะข้างหน้า เมื่อรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการและกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง หนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัว 

สำหรับผลประกอบการช่วง 9 เดือนของปี 2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 16,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 24,291 ล้านบาท  แม้ว่าลดลง 31.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังเป็นการตั้งสำรองในระดับสูง ส่งผลให้  Coverage ratio เท่ากับ 163.9% เพิ่มขึ้นจาก 147.3% ณ สิ้นปี 2563  และ NPLs Ratio-Gross อยู่ที่ 3.57% ลดลงจาก 3.81% ณ สิ้นปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี  ผลจากการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้ เท่ากับ 47,841 ล้านบาท ลดลง 11.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ลดลง 8.3% ตามรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง

แม้ว่าสินเชื่อจะขยายตัวได้ดีถึง 9.6% จากสิ้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วงเดียวกันของปีก่อนธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยพิเศษเงินให้สินเชื่อจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันจำนอง รวมถึงการลดลงของดอกเบี้ยเงินลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งส่งผลให้ NIM เท่ากับ 2.52%

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 3.8% จากการบริหารจัดการในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 44.28% ใกล้เคียงกับ 44.45% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไม่รวมรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ) 

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 5,055 ล้านบาท ลดลง 15.9% จากไตรมาสที่ผ่านมา จากกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้ที่ลดลง 8.3% ตามรายได้จากการดำเนินงานที่ลดลง 1.8% แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะขยายตัว 1.1% จากสินเชื่อที่ขยายตัวได้ดีและการบริหารต้นทุนทางการเงิน โดย NIM อยู่ที่ 2.51% ลดลงเล็กน้อยจาก 2.55%

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 7.0%  จากค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการขาดทุนจากการด้อยค่าทรัพย์สินรอการขาย

เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3/2563 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เพิ่มขึ้น 65.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ลดลง 34.5% มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้ ลดลง 8.0% มาจากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ลดลง 6.4% เป็นผลจากในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยพิเศษเงินให้สินเชื่อจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันจำนอง

ประกอบกับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงจากดอกเบี้ยรับเงินลงทุนในตราสารหนี้ และรายได้จากการดำเนินงานอื่นที่ลดลง ทั้งนี้ ธนาคารบริหารต้นทุนทางการเงินประกอบกับสินเชื่อขยายตัวได้ดี ซึ่งช่วยลดผลกระทบดังกล่าว รวมถึงการบริหารค่าใช้จ่ายในการภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 4.4%  ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 46.21% ลดลงเล็กน้อยจาก 47.16% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ไม่รวมรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ)

ณ 30 กันยายน 2564 ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 322,626 ล้านบาท และมีเงินกองทุนทั้งสิ้นเท่ากับ 389,100 ล้านบาท คิดเป็น  16.10% และ 19.42% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยงตามลำดับ

แม้เศรษฐกิจในประเทศมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 และการเปิดประเทศ แต่ในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูง  ธนาคารจึงยังคงรักษาระดับการตั้งสำรองในระดับสูง ติดตามสถานการณ์ของลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าได้ทันการณ์ ตรงกลุ่มเป้าหมาย

ทั้งมาตรการลดภาระทางการเงิน การเสริมสภาพคล่อง และเพิ่มช่องทางการขายสินค้าผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มทั้ง Krungthai NEXT เป๋าตัง และถุงเงิน พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าทุกกลุ่ม  โดยร่วมมือกับพันธมิตรทุกกลุ่มนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น พร้อมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

อ่านข่าวเพิ่มเติม:

Avatar photo