ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (24 ก.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ปรับตัวในวงแคบ จากความกังวลเรื่อง “เอเวอร์แกรนด์” ที่ยังเกาะติดตลาด หลังยักษ์อสังหาริมทรัพย์จีนรายนี้ ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 2 งวดที่มีกำหนดชำระวานนี้ (23 ก.ย.)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 34,751.71 จุด ลดลง 13.11 จุด หรือ 0.04% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 4,449.98 จุด ขยับขึ้น 1.00 จุด หรือ 0.02% และดัชนีแนสแด็กที่ 15,025.35 จุด ลบ 26.90 จุด หรือ 0.18%
บรรดานักลงทุน ต่างจับตามองอย่างระมัดระวัง ถึงสถานการณ์ของ “ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป” บริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน ว่า จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจโลกโดยรวมหรือไม่
ทั้งนี้ เอเวอร์แกรนด์ ได้ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 2 งวดที่มีกำหนดชำระวานนี้ คือ ดอกเบี้ยวงเงิน 232 ล้านหยวน หรือราว 35.88 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้สกุลเงินหยวนที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนกันยายน 2568 และดอกเบี้ยเงิน 83.5 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมีนาคม 2565
การผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้เกิดขึ้นวานนี้ แม้ว่าประธานบริษัทเอเวอร์แกรนด์ได้ออกแถลงการณ์สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนเมื่อช่วงเช้าวานนี้ ขณะที่ทางการจีนก็ได้แจ้งเตือนบริษัทให้ทำการชำระหนี้หุ้นกู้สำหรับนักลงทุนรายย่อย รวมทั้งหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้สำหรับหุ้นกู้สกุลดอลลาร์
ผู้บริหารของเอเวอร์แกรนด์ยังคงปิดปากเงียบ และไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆต่อผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัท รวมทั้งไม่ได้ยื่นหนังสือชี้แจงต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของฮ่องกง
ขณะเดียวกัน ทางการจีนได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในมณฑลต่างๆเตรียมรับมือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการล้มละลายของเอเวอร์แกรนด์
คำเตือนดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลจีน ไม่มีความประสงค์ที่จะเข้ากอบกู้กิจการของเอเวอร์แกรนด์ แต่จะเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาคเศรษฐกิจและสังคมของจีน หากเอเวอร์แกรนด์ต้องประสบกับภาวะล้มละลายในที่สุด
เจ้าหน้าที่ระบุว่าคำเตือนของทางการจีนเหมือนกับคำสั่งให้”เตรียมพร้อมรับมือพายุที่จะเกิดขึ้น” ขณะที่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจต่างๆได้รับการกำชับจากทางการจีนว่าให้มีการดำเนินการในนาทีสุดท้ายก่อนที่เอเวอร์แกรนด์จะล้มละลาย เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ
ดาวโจนส์ ยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันขาลง หลังราคาหุ้น ไนกี้ ผู้ผลิตชุดกีฬาชื่อดัง ดิ่งลงไป 6.7% จากการที่บริษัทหั่นคาดการณ์ยอดขายตลอดทั้งปีนี้ พร้อมเตือน ถึงความล่าช้าของผลิตภัณฑ์ ที่เกิดจากการติดขัดด้านซัพพลายเชน และการขนส่ง เพราะการระบาดของโควิดทั่วโลก ซึ่งทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าแพงขึ้น และมีปริมาณสินค้าตกค้างเป็นจำนวนมาก
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘YLG’ สั่งจับตาผลประชุมเฟด ชี้หากลด QE ราคาทองเสี่ยงลงต่อ!!
- คาดเฟดประกาศแผนปรับลด QE ไม่เปลี่ยนแปลงจากที่ตลาดรับรู้ไปแล้ว
- ‘เอเวอร์แกรนด์’ พ่นพิษอีก! ‘แบงก์ ออฟ อเมริกา’ หั่นคาดการณ์ ‘จีดีพีจีน’ 3 ปีติด