ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (27 ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ปรับตัวลดลง จากการที่นักลงทุนรอดูผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิ้ล ไมโครซอฟท์ และอัลฟาเบท ที่มีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการหลังปิดตลาดในวันนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 34,941.59 จุด ร่วงลง 202.72 จุด หรือ 0.58% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 4,382.93 จุด ลดลง 39.37 จุด หรือ 0.89% และดัชนีแนสแด็กที่ 14,565.56 จุด ดิ่งลง 275.15 จุด หรือ 1.85%
หลังจากปิดบวกมา 5 วันติดต่อกัน ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงในช่วงเปิดตลาดวันนี้ ท่ามกลางความกังวล ในเรื่องที่ทางการจีนเข้ามาควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ และแนวทางของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการกำกับดูแลเงินเฟ้อ ที่ปรับตัวสูงขึ้น
นักลงทุนจับตาคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประชุมนโยบายการเงิน และแถลงมติอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 27-28 กรกฎาคมนี้ หลังจากช่วงที่ผ่านมา นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด มีท่าทีเกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายการเงิน
เขาแถลงรอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงิน และภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสว่า เฟดจะยังคงเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และจะยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นในขณะนี้ก็ตาม
สำหรับบริษัทที่เปิดเผยผลประกอบการก่อนตลาดเปิดทำการในวันนี้ ได้แก่ บริษัทยูไนเต็ด พาร์เซิล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยว่า บริษัทมีรายได้จากธุรกิจหลักในสหรัฐเพิ่มขึ้น 10.2% ในไตรมาส 2 ส่วนรายได้จากธุรกิจในต่างประเทศพุ่งขึ้น 30% โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของธุรกิจในยุโรป
ส่วนกำไรในไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 3.06 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.82 ดอลลาร์/หุ้น
UPS ระบุว่า ปัจจัยที่ช่วยหนุนกำไรและรายได้ในไตรมาส 2 นั้น มาจากการขนส่งสินค้าในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การขนส่งทางอากาศ และการขนส่งสินค้าด้านสุขภาพเช่นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
นอกจากนี้ บริษัทในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ ยังเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 2 โดยเจเนอรัล อิเล็กทริก (GE) เปิดเผยกำไรอยู่ที่ 5 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.31 เซนต์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ 18,280 ล้านดอลลาร์ มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 18,080 ล้านดอลลาร์
ทางด้านบริษัท 3M เปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 2.59 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.29 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่รายได้อยู่ที่ 8,950 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 8,530 ล้านดอลลาร์
ส่วนบริษัทฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 2.02 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.94 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่รายได้อยู่ที่ 8,810 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 8,640 ล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสามารถบ่งบอกถึงภาพรวมของเศรษฐกิจได้ แม้ในช่วงเวลาที่สหรัฐยังคงเผชิญกับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะไวรัสสายพันธุ์เดลตา ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในขณะนี้
ในส่วนของข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยแล้วในวันนี้ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนมิถุนายน น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.1% ซึ่งนับเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันแล้วที่ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนออกมาต่ำกว่าคาดการณ์
อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับทบทวนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพฤษภาคม เป็นเพิ่มขึ้น 3.2% จากรายงานก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าเพิ่มขึ้น 2.3% ทั้งนี้ ความต้องการสินค้าคงทนเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 13 ในรอบ 14 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าในภาพรวมแล้ว ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนยังคงแข็งแกร่ง
ขณะที่ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส-ชิลเลอร์ เผยว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วสหรัฐพุ่งขึ้น 16.6% ในเดือนพฤษภาคม เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 14.8% ในเดือนเมษายน และเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง’ ชู 3 กองทุน ขานรับแผนเสริมแกร่งเศรษฐกิจสหรัฐ เน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
- ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างพุ่ง 4.3% แนวโน้มขยับขึ้นต่อรับเศรษฐกิจฟื้น
- คนกังวลปัญหาเศรษฐกิจ ใช้จ่ายท่องเที่ยวเท่าเดิม แม้มีมาตรการกระตุ้น