ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (6 ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ “ดาวโจนส์” ดิ่งลงอย่างหนัก ท่ามกลางแรงกดดันจากราคาน้ำมัน ที่พุ่งขึ้นเกือบแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี หลัง “โอเปคพลัส” ประกาศเลื่อนการประชุมอย่างไม่มีกำหนด เพราะหาข้อตกลงเกี่ยวกับการเพิ่มกำลังผลิตไม่ได้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 34,409.37 จุด ดิ่งลง 376.98 จุด หรือ 1.08% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 4,319.72 จุด ลดลง 32.62 จุด หรือ 0.75% และดัชนีแนสแด็กที่ 14,568.64 จุด ลบ 70.68 จุด หรือ 0.48%
นักลงทุนติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด หลังจากที่กลุ่มโอเปคพลัส ตัดสินใจเลื่อนการประชุมออกไปโดยไม่มีกำหนด เนื่องจากในการประชุมเมื่อวานนี้ (5 ก.ค.) ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ยังตกลงกันไม่ได้เกี่ยวกับนโยบายการผลิตน้ำมัน
ข่าวดังกล่าวส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนสิงหาคม ซึ่งซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ พุ่งขึ้นไปแตะที่ 76.98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2557
ภาวะการซื้อขายยังได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยหุ้น ตี้ตี๋ โกลบอล อิงค์ (Didi Global Inc) ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเรียกรถโดยสาร ตี้ตี๋ ชูซิง (DiDi Chuxing) ร่วงลงไปถึงเกือบ 25% หลังจากที่สำนักบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (CAC) ดำเนินการตรวจสอบตีตี โกลบอล เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (2 ก.ค.) เพียงสองวัน หลังจากที่หุ้นตีตี โกลบอล เปิดทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหุ้นสหรัฐ
ต่อมาในวันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม CAC มีคำสั่งให้ถอดแอปพลิเคชัน ตี้ตี๋ ชูซิง ออกจากแพลตฟอร์มแอปสโตร์ของจีน โดยอ้างว่า ตี้ตี๋ ชูซิง ทำการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายของจีน
รายงานของ WSJ ระบุว่า บรรดาเจ้าหน้าที่จีน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของ CAC ต่างก็วิตกกังวลว่า ข้อมูลของผู้ใช้งาน ตี้ตี๋ ชูซิง อาจตกไปอยู่ในมือของต่างชาติ เนื่องจากการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลดำเนินธุรกิจต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC)
ขณะเดียวกัน นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนมิถุนายน จาก มาร์กิต และดัชนีภาคการผลิตเดือนมิถุนายน จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมเดือนมิถุนายน ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพรุ่งนี้ (7 ก.ค.) ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม ตามเวลาไทย เพื่อจับสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ในการประชุมเมื่อวันที่ 15-16 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งเร็วกว่าเดิมที่ได้ส่งสัญญาณในเดือนมีนาคมว่า เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- สื่อนอกตีข่าว ‘วิกฤติโควิด’ ทำ ‘เศรษฐกิจไทย’ ทรุด เตือน ‘เอสเอ็มอี’ 80% อาจล้มละลาย
- ‘รวยกระจุก จนกระจาย’ เมื่อเศรษฐกิจไทยฟื้นแบบ K-Shaped
- ครม.รับทราบ!! คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ ชี้เป็นการปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ