Stock

ตลาดกังวล ‘เงินเฟ้อ’ รอบใหม่ ฉุด ‘ดาวโจนส์’ ร่วงกว่า 100 จุด

ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (17 พ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ปรับตัวลดลง นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ท่ามกลางสัญญาณบ่งชี้ว่า การก่อตัวของเงินเฟ้อ สร้างแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนกลับมาวิตกอีกครั้ง เกี่ยวกับการเพิ่มความเข้มงวดในนโยบายการเงิน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 34,244.49 จุด ร่วงลง 137.64 จุด หรือ 0.40% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 4,153.60 จุด ขยับลงมา 20.25 จุด หรือ 0.49% และดัชนีแนสแด็กที่ 13,313.19 จุด ลดลง 116.78 จุด หรือ 0.87%

Stocksbitcoin ๒๑๐๔๑๙ 0

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ลบ 1.1%, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลบ 1.4% และดัชนีแนสแด็กลบ 2.3% โดยดัชนีทั้ง 3 ดิ่งลงเทียบรายสัปดาห์มากที่สุด นับตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา ท่ามกลางความกังวลที่ว่า ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาดจะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ รวมทั้งลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

ราคาหุ้น เอที แอนด์ ที และดิสคัฟเวอรี พุ่งขึ้นสวนทางตลาดในวันนี้ ขานรับข่าวที่ว่า เอที แอนด์ ที  ซึ่งเป็นบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ บรรลุข้อตกลงในการควบรวมกิจการของ วอร์เนอร์มีเดีย เข้ากับ ดิสคัฟเวอรี ซึ่งจะสามารถแข่งขันกับบริษัทเน็ตฟลิกซ์ และดิสนีย์ อิงค์ ซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาดได้

ก่อนหน้านี้ เอที แอนด์ ที ได้ซื้อกิจการของ ไทม์ วอร์เนอร์ ในวงเงิน 109,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อปี 2561 ทำให้ เอที แอนด์ ที สามารถครอบครอง ซีเอ็นเอ็น, เอชบีโอ และ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อ ไทม์ วอร์เนอร์ เป็น วอร์เนอร์มีเดีย

หากข้อตกลงควบรวมกิจการ วอร์เนอร์มีเดีย เข้ากับ ดิสคัฟเวอรี ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็จะทำให้มีการจัดตั้งบริษัทแห่งใหม่ขึ้น ซึ่งแยกจาก เอที แอนด์ ที และจะมีมูลค่าตลาดมากถึง 150,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะสามารถแข่งขันกับบริษัทเน็ตฟลิกซ์ และดิสนีย์ อิงค์

ขณะนี้เอชบีโอ และ เอชบีโอ แม็กซ์ มีสมาชิกทั่วโลกราว 64 ล้านราย ส่วน ดิสคัฟเวอรี ซึ่งมีช่องสารคดีที่น่าสนใจมากมาย รวมถึง แอนิมอล แพลเน็ต และ ดิสคัฟเวอรี แชนแนล  มีสมาชิกราว 15 ล้านราย

ทางด้านเน็ตฟลิกซ์มีสมาชิกทั่วโลกราว 208 ล้านราย ขณะที่ดิสนีย์เปิดเผยว่า แพคเกจ ดิสนีย์พลัส มีสมาชิกมากกว่า 100 ล้านราย

นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มค้าปลีก ได้แก่ วอลมาร์ท อิงค์, โฮม ดีโปท์ และเมซีส์ ในวันพรุ่งนี้ (18 พ.ค.) ซึ่งจะบ่งชี้ภาวะการใช้จ่ายของผู้บริโภค ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ขณะนี้ บริษัทมากกว่า 90% ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ได้เสร็จสิ้นการรายงานผลประกอบการในไตรมาส 1 แล้ว โดยมีจำนวน 86% ที่รายงานตัวเลขกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่สูงเกินคาด ซึ่งเป็นตัวเลขสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่ FactSet เริ่มรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2551

นอกจากนี้ ตลาดจับตารายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟดประจำวันที่ 27-28 เมษายน ที่จะมีการเผยแพร่ในวันพุธ (19 พ.ค.) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาด

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo