Stock

ราคาทองไทยไปไกล… AURA น่าลงทุนแค่ไหน !?

เมื่อราคาทองไทยไปไกลถึง 54,000 บาท แล้วหุ้นร้านทอง AURA น่าลงทุนแค่ไหน !?

เป็นที่ทราบกันดีว่าปี 2568 นี้ เป็นวัฏจักรขาขึ้นของราคาทองคำอย่างแท้จริง โดยราคาทองคำโลก (Gold Spot) ขึ้นไปแตะระดับ 3,340 ดอลลาร์ กำลังเดินหน้าสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำ All-Time Hight เกิน 20 ครั้งไปแล้ว

ไม่ต่างกับราคาทองคำไทย  เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568  ราคาทองคำแท่งรับซื้อ 54,350 บาท และขายออก 54,450 บาท ส่วนราคาทองคำรูปพรรณรับซื้อ 53,378.36 บาท และขายออก 55,250 บาท

ปัจจัยที่หนุนราคาทองคำในปีนี้ เนื่องจากการเป็นสินทรัพย์ที่มีแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะจีนที่เข้าสะสมทองคำต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2567 หลังจากรู้ว่า Trump ได้รับชัยชนะการเลือกตั้ง เพื่อเก็บสะสมทองคำสำหรับกระจายความเสี่ยง นอกจากนี้ ราคาทองยังได้รับอานิสงค์จากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ประกอยกับความเสี่ยงด้าน Geopolitic Risk

แน่นอนว่าราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นได้ต่อ จากความไม่แน่นอนของตลาดการเงินทั้วโลก อย่างไรก็ดี การเข้าเก็งกำไรในตอนนี้อาจจะต้องระมัดระวังให้ดี เพราะมีความเสี่ยงสูง ด้วยราคาที่ขึ้นมามากแล้ว

ทว่าอีกคำถามที่น่าสนใจก็คือ แล้วการลงทุนในหุ้นที่ประกอบธุรกิจค้าปลีกทองคำอย่าง AURA หรือ บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) แบบนี้ถือว่าน่าสนใจไหม และจะได้ประโยชน์จากทิศทางราคาทองคำหรือไม่

ราคาทอง

เข้าใจธุรกิจของห้างทอง AURA

AURA ประกอบธุรกิจค้าปลีกทองรูปพรรณ เครื่องประดับเพชรและอัญมณี และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นที่มีบริการแบบครบวงจร (One Stop Service) พูดง่ายๆ ว่าเป็นผู้ให้บริการซื้อขายทองคำแบบซื้อมาขายไป ซึ่งมีรายได้จากค่ากำเหน็จ ประกอบกับมีธุรกิจเสริมอื่นๆ เช่น ธุรกิจ Jewelry และธุรกิจขายฝากทอง

ทำไมผลประกอบการของ AURA อาจจะไม่ได้สัมพันธ์โดยตรงกับราคาทองคำ เพราะการที่ราคาทองพุ่งแรง ไม่ได้หมายความว่าผู้ประกอบการธุรกิจร้านค้าทอง จะได้รับประโยชน์เสมอไป และก็ไม่ได้แปลว่าร้านทองจะเสียผลประโยชน์เช่นกัน คำตอบจริงๆ คือราคาทองขึ้นลงไม่ได้มีผลต่อร้านทองอย่างมีนัยสำคัญ แต่อาจจะมีผลบ้างในแง่ของความเชื่อมั่นเท่านั้น

หัวใจสำคัญของธุรกิจร้านทองจึงอยู่ที่การบริหารจัดการทองคำและเงินสดในมือให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ได้คาดหวังกำไรจากราคาทองที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน แต่ผลกำไรส่วนใหญ่อยู่ที่การกินส่วนต่างราคาซื้อขาย ค่ากำเหน็จ และดอกเบี้ยจากการจำนำทอง ในรูปแบบของนายหน้าคนกลาง

มุมมองนักวิเคราะห์ต่อหุ้น AURA

บทวิเคราะห์ บล. หยวนต้า เปิดเผยว่า คาดผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ของ AURA อาจมีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกทองคำสามารถทำกำไรได้ดี จากการรับซื้อจำนวนมากในช่วง 90 วันก่อนหน้า และมีการขายออกในช่วงเทศกาล ทำให้ GPM ค่อนข้างสูง

ส่วนธุรกิจขายฝากทอง “ทองมาเงิน” ยังคงทำ New High ต่อเนื่องทุกเดือน ดังนั้น มีโอกาสปรับประมาณการกำไรปี 2568 ขึ้นได้อีก อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 2/2568 จะเข้าสู่ Low Season จึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุน “ซื้อเพื่อเก็งกำไร” ตามผลประกอบการไตรมาสแรก และขายทำกำไรก่อนงบออก เพื่อเลี่ยงการถูก Sell on Fact และสะสมอีกครั้งหลังงบไตรมาสสองออกไปแล้ว

ทั้งนี้ ทองมาเงินไป จะกลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ใน 3 ปีของ AURA บริษัทตั้งเป้าจำนวนสาขารวมทุกแบรนด์ในปี 2570 ไม่น้อยกว่า 1,000 สาขา จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 488 สาขา โดยเป็นสาขาเฉพาะของทองมาเงินไปไม่น้อยกว่า 650 สาขา จากสิ้นปีก่อนที่ 210 สาขา หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 46%

ราคาทอง

พร้อมกับตั้งเป้ายอดลูกหนี้ขายฝากทอง (AR) ของทองมาเงินไปที่ 20,000 ล้านบาท ในปี 2567 จากปีก่อนอยู่ที่ 4,900 ล้านบาท โดยยังคงเป้าอัตราดอกเบี้ยรับที่ราว 13–14% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่ 5-6% แต่มีแนวโน้มลดลงตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอันดับเครดิตของบริษัทที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ AURA ได้เพิ่มช่องทางการทำธุรกรรมของทองมาเงินไป ด้วยการ Delivery เพียงตรวจสอบราคาและอัตราดอกเบี้ยผ่าน Application แล้วบริษัทจะส่งเจ้าหน้าที่ไปรับทอง และกำหนดราคาให้ถึงบ้าน สามารถรับเงินได้ทันทีหากการตรวจสอบทองคำผ่านเกณฑ์ รวมทั้งสามารถต่อดอกได้ออนไลน์ผ่าน Application ซึ่งมีจุดแข็งที่ความสะดวก ไม่ต้องเข้าร้าน ถือเป็นอีกปัจจัยที่หนุนการเติบโตของบริษัทในอนาคต

อ่านข่าวเพิ่มเติม 

ติดตามเราได้ที่

เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
X: https://twitter.com/BangkokInsight
Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน