Stock

เปิดกลยุทธ์มองหา 5 หุ้นอัพไซด์สูง รับมือภาษีทรัมป์

เปิดกลยุทธ์มองหา 5 หุ้นอัพไซด์สูง รับมือความไม่แน่นอนภาษีตอบโต้ของสหรัฐ

การประกาศเก็บภาษีตอบโต้ หรือ Reciprocal Tariffs ของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทย ล่าสุดโดนเรียกเก็บในอัตรา 37% ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ ซึ่งนักลงทุนมองข้ามไปไม่ได้เลย

เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ค่อนข้างมาก สามารถปรับเปลี่ยนได้เป็นรายชั่วโมง เพราะฉะนั้น ตลาดจึงยังมีความกังวลกับประเด็น Reciprocal Tariffs สะท้อนผ่านแรงขายที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น คำถามคือเราควรปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างไรเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในตอนนี้

บทวิเคราะห์ บล. เอเซีย พลัส (Asia Plus Securities) แนะนำกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือนเมษายน 2568 ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นทั่วโลกคุกรุ่นด้วยควันไฟจาก Trade War 2.0 หลังจากการที่ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา นักลงทุนต่างหวาดกลัวทรัมป์ กดดันให้ SET Index ลดแรง 15% จนถึงเทียบเท่าช่วง GDP ติดลบ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มองว่าในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามคือการกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายหนุนตลาด ประกอบกับ Valuation ของหุ้นไทยถือว่าถูกติดอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้มี Downside Risk ที่ต้อนข้างจำกัดกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ จึงน่าทยอยสะสมในช่วงที่ราคาย่อตัว โดยเฉพาะในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง แนวโน้มการเติบโตดี และไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ

ภาษีตอบโต้

หุ้นเด่นที่แนะนำ “ซื้อ” ในสถานการณ์ความไม่แน่นอนของภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ของสหรัฐ เป็นหุ้นที่มีอัพไซด์สูงในตอนนี้ คือ AP, CPALL, GPSC, IVL, STECON และ TTB

1. AP: บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)
ราคาเป้าหมาย 12.80 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัพไซด์ประมาณ 47%
เป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่พอร์ตสินค้ามีความยืดหยุ่น ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี และพร้อมกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว หากสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ

2. CPALL: บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
ราคาเป้าหมาย 88.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัพไซด์ประมาณ 63%
ได้รับอานิสงส์ยอดขายร้อนสะดวกซื้อจากการเข้าสู่หน้าร้อนและเทศกาลสงกรานต์ ในขณะที่ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) โตเด่นสุดนับตั้งแต่ต้นปี

3. GPSC: บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)
ราคาเป้าหมาย 29.40 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัพไซด์ประมาณ 25%
เป็นหุ้นเด่นโรงไฟฟ้า โดยมีความสำเร็จจากพอร์ตพลังงานสีเขียวจาก Avaada Energy Avaada แม้ว่าปี 2568 จะยังมีปัจจัยกดดันจากนโยบายค่าไฟที่ยังคงอยู่

4. IVL: บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)
ราคาเป้าหมาย 30 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัพไซด์ประมาณ 48%
เข้าสู่ช่วงไตรมาส 2 ซึ่งจะเป็นช่วงฤดูกาลของ PET ทั่วโลกที่จะกำลังฟื้น อีกทั้ง iVL ยังรอรับผลมาตรจากการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศจีน

5. STECON: บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ราคาเป้าหมาย 7 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัพไซด์ประมาณ 11%
ถือว่ามีปัจจัยหนุนราคาหุ้นหลากรายการที่ยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ ประกอบกับการพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีการประมูลงานโครงการขนาดใหญ่อีกมาก

ภาษีตอบโต้

5. TTB: ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน)
ราคาเป้าหมาย 2.14 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัพไซด์ประมาณ 38%
เป็นหุ้นธนาคารที่มีนโยบายสินเชื่อระมัดระวัง คุมเข้มการเกิด NPL ใหม่ ส่วน Tax shield ช่วยจำกัด Downside ต่อกำไรสุทธิ

แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนในช่วงนี้ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ทั้งปัจจัยนอกประเทศ ได้แก่ ทรัมป์ เตรียมใช้มาตรการภาษีตอบโต้ประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ การเตรียมขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% สำหรับรถที่ผลิตนอกประเทศสหรัฐ  และนโยบายการเงินทั่วโลกยังผูกโยงกับทิศทางการคลังของสหรัฐ

สำหรับปัจจัยในประเทศ ได้แก่ Earning Yield Gap ของ SET Index ยังจูงใจเมื่อเทียบพันธบัตร ถือเป็นสัญญาณบวกต่อหุ้นไทย และมีโอกาสที่นักลงทุนสถาบันอาจยังคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้น นอกจากนี้ ต้องรอติดตามความคืบหน้ามาตรการ Thai ESGX ที่กำลังจะออกมาซึ่งมีโอกาสหนุนตลาดหุ้นไทยไตรมาสนี้

อ่านข่าวเพิ่มเติม 

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน