Stock

ฝ่าวิกฤติสงครามการค้า!! จัดพอร์ตลงทุน รับมือตลาดผันผวน

เศรษฐกิจโลกเผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษี และความขัดแย้งทางการค้า กลยุทธ์กระจายความเสี่ยง เป็นกุญแจสำคัญในการจัดพอร์ตลงทุน รับมือตลาดผันผวน

ในยุคที่สงครามการค้าและความผันผวนทางเศรษฐกิจกลายเป็นความท้าทายหลักของนักลงทุนทั่วโลก การจัดการพอร์ตการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่เป็นทักษะที่จำเป็น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางการเงินในระยะยาว โดยปี 2568 มีหลายประเด็นที่นำมาซึ่งความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเกี่ยวกับนโยบายภาษี (Tariff) ของสหรัฐอเมริกา หรือมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

จัดพอร์ตลงทุน

ดังนั้น การวางแผนพอร์ตการลงทุนท่ามกลางสถานการณ์ไม่แน่นอน จึงต้องอาศัยความเข้าใจตลาด การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ จะช่วยให้สามารถฝ่าฟันวิกฤติสงครามการค้าและความท้าทายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ทำไมปี 2568 ถึงเป็นปีที่ต้องปรับตัว

ปี 2568 นำมาซึ่งสถานการณ์ที่ท้าทายสำหรับนักลงทุน เนื่องจากปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลก นักลงทุนนอกจากจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิดแล้ว ยังต้องวางแผนพอร์ตการลงทุนที่สามารถต้านทานความผันผวนของตลาดได้ โดยเหตุผลหลักว่าทำไมการปรับกลยุทธ์การลงทุนถึงเป็นสิ่งจำเป็นในปีนี้ มีดังนี้

ความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก

ปี 2568 นับเป็นอีกครั้งที่เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับภาวะไม่แน่นอน เช่น ความผันผวนในตลาดพลังงาน การปรับนโยบายดอกเบี้ยของประเทศเศรษฐกิจหลัก ความขัดแย้งทางการค้า ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่ต้องจับตามอง คือ นโยบายภาษี ที่รัฐบาลหลายประเทศอาจนำมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้าและส่งเสริมการผลิตในประเทศ

ผลกระทบของการเก็บภาษีนำเข้า

การเก็บภาษีนำเข้าไม่ได้ส่งผลเพียงแค่ราคาสินค้าที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค แต่ยังส่งผลต่อหุ้นของบริษัทที่พึ่งพาวัสดุหรือสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ การเพิ่มภาษีนำเข้าอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อกำไรและราคาหุ้นของบริษัทในอุตสาหกรรมนั้น ๆ

กลยุทธ์กระจายการลงทุนปี 2568

การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท

  • ตราสารทุน ผสมผสานหุ้นขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก หุ้นเติบโต และหุ้นมูลค่า เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงและโอกาสในการเติบโต
  • การลงทุนในตราสารหนี้ เพิ่มพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนเพื่อสร้างรายได้และลดความผันผวน
  • สินค้าโภคภัณฑ์ ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อด้วยการลงทุนในทองคำ น้ำมัน หรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ
  • อสังหาริมทรัพย์ ลงทุนผ่าน REITs หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรงเพื่อสร้างรายได้และมูลค่าระยะยาว

การกระจายการลงทุนทางภูมิศาสตร์

  • ลงทุนในต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศ สร้างสมดุลระหว่างภูมิภาคที่มั่นคง (เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป) กับตลาดเกิดใหม่ที่มีการเติบโตสูงแต่ผันผวน (เช่น เอเชีย ลาตินอเมริกา)

จัดพอร์ตลงทุน

การกระจายการลงทุนตามภาคธุรกิจ

  • กระจายการลงทุนในหลากหลายภาคธุรกิจ เช่น เทคโนโลยี สาธารณสุข พลังงาน และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อลดความเสี่ยงเฉพาะภาคธุรกิจและรับโอกาสการเติบโตในด้านต่าง ๆ เช่น AI พลังงานหมุนเวียน และนวัตกรรมด้านสุขภาพ

ใช้กองทุนที่มีการกระจายการลงทุนอย่างกว้างขวาง

  • ใช้กองทุนดัชนีหรือ ETFs เพื่อให้ได้การกระจายการลงทุนที่มีประสิทธิภาพด้านต้นทุนครอบคลุมหลายภาคส่วนและภูมิภาค

การจัดสรรสินทรัพย์แบบยืดหยุ่น

  • ปรับพอร์ตการลงทุนตามสภาวะตลาด เช่น เพิ่มสัดส่วนพันธบัตรในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว หรือเพิ่มการลงทุนในภาคธุรกิจที่มีการเติบโตในช่วงตลาดขาขึ้น

การปรับสมดุลพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ

  • ทบทวนพอร์ตการลงทุนเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับเป้าหมายการจัดสรรสินทรัพย์ การปรับสมดุลช่วยรักษาการกระจายการลงทุนเมื่อมูลค่าตลาดเปลี่ยนแปลงตามเวลา

ความเสี่ยงและผลตอบแทน ต้องสมดุล

  • การจัดการพอร์ตการลงทุนในปี 2568 จำเป็นต้องใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน ระยะเวลาการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ สำหรับขั้นตอนการสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนในพอร์ตการลงทุนสำหรับปี 2568 มีดังนี้

กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท

  • กระจายการลงทุนในหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์ทางเลือก เพื่อลดความเสี่ยงจากการตกต่ำของตลาดใดตลาดหนึ่ง
  • พิจารณาลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) เพื่อรายได้ที่มั่นคงและโอกาสการเติบโต โดยไม่ต้องบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์โดยตรง

กำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมาย

  • ประเมินระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ทั้งด้านอารมณ์และการเงิน นักลงทุนที่อายุน้อยอาจเน้นการลงทุนในหุ้น ในขณะที่ผู้เกษียณอาจชอบพันธบัตรหรือหุ้นที่จ่ายเงินปันผล
  • จัดพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือการเติบโตระยะยาว

จัดพอร์ตลงทุน

ใช้กลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์

  • ใช้โมเดลการจัดสรรสินทรัพย์แบบสมดุล (เช่น หุ้น 60% พันธบัตร 30% เงินสด 10%) และปรับสมดุลประจำปีเพื่อรักษาสัดส่วน
  • เพื่อความยืดหยุ่น อาจพิจารณาการจัดสรรแบบไดนามิกโดยปรับการลงทุนตามสภาวะตลาด

สำรวจการลงทุนที่มีการเติบโตสูงและการลงทุนเชิงป้องกัน

  • ลงทุนในภาคส่วนที่มีการเติบโตสูง เช่น เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ และพลังงานสีเขียว เพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น
  • ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อด้วยสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์หรือพันธบัตรที่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ

ลดความเสี่ยงด้วยการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน

  • ลงทุนด้วยจำนวนเงินที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสร้างวินัยในการลงทุน

ติดตามและปรับสมดุลอย่างสม่ำเสมอ

  • ทบทวนพอร์ตการลงทุนทุกไตรมาส เพื่อระบุสินทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าเกณฑ์หรือโอกาสใหม่ ๆ
  • การปรับสมดุลช่วยให้พอร์ตการลงทุนสอดคล้องกับกลยุทธ์เดิม เพื่อความสามารถในการทำกำไรระยะยาว

การจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2568 จำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยความเสี่ยงและโอกาสที่หลากหลาย โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้าและนโยบายภาษีระหว่างประเทศ นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น REITs และอสังหาริมทรัพย์, การใช้เครื่องมือการลงทุนอย่าง ETFs จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายความเสี่ยงและลดต้นทุนการลงทุน

นอกจากนี้ การติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดและการปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง จะช่วยให้นักลงทุนสามารถรักษาเสถียรภาพของพอร์ตและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว

โดย : ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK