Stock

เปิดมุมมองการลงทุน 10 หุ้นใหญ่สุดของปี2567

 วันนี้เราได้รวบรวมรายชื่อ 10 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ ตามราคาตลาด (Market Cap.) มากที่สุด ปี 2567 พร้อมมุมมองการลงทุน ปี 2025 แต่ละแห่งมีโอกาสและความเสี่ยงอะไรรออยู่ข้างหน้า

10 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

1. DELTA: บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
มูลค่า Market Cap. ประมาณ 1.89 ล้านล้านบาท

DELTA เป็นผู้ผลิตเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีสินค้า 4 กลุ่ม คือ 1. เพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ 2. อิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ 3. ผลิตภัณฑ์อัตโนมัติสําหรับโรงงาน/อาคาร และ 4. ผลิตภัณฑ์สําหรับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม-พลังงาน  ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กําไรปกติโตเฉลี่ย 28% จากการเติบโตของทั้งยอดขายและมาร์จิ้นที่สูงขึ้น ในขณะที่สินค้าของ DELTA ก็มีศักยภาพการเติบโตในตามอุตสาหกรรม AI, Data Center, Cloud และ EV

แต่จุดที่ต้องระวังของ DELTA อยู่ที่การประเมินราคาเหมาะสม เพราะปัจจุบันเป็นหุ้นที่ PE สูงถึง 60.1 เท่า สูงกว่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย PE ของคู่แข่งในภูมิภาค ดังนั้น ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจถูกกดดัน หากกําไรมีการชะลอลง นอกจากนี้ ราคาหุ้นสะท้อนความคาดหวังการเติบโตไปมากแล้ว  เป็นจุดที่ผู้ลงทุนต้องพิจารณาให้ดี

ตลาดหลักทรัพย์

2. PTT: บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
มูลค่า Market Cap. ประมาณ 9.06 แสนล้านบาท

ในช่วงที่ผ่านมา ผลกำไรของกลุ่มปตท. อาจจะโดนกดดันในภาพรวม แต่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป จากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี, การขาดทุนสต็อกน้ำมันที่ลดลง, ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันฟื้นตัวจาก High Season ของการท่องเที่ยว และธุรกิจก๊าซได้ประโยชน์จากการปรับตัวลงของต้นทุนก๊าซในอ่าวไทยและเมียนมา

นอกจากนี้ จุดเด่นของ PTT อยู่ที่โครงสร้างธุรกิจที่กระจายตัวครบวงจร ทำให้ผลประกอบการมั่นคงและปัจจุบันหุ้นมี Dividend Yield กว่า 5% จึงเป็นแหล่งพักเงินในอุตสาหกรรมพลังงานที่ดีช่วงตลาดหุ้นผันผวน

3. AOT: บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
มูลค่า Market Cap. ประมาณ 8.42 แสนล้านบาทในตลาดหลักทรัพย์

ปี 2568 จะเป็นปีแรกที่ AOT ได้ประโยชน์เต็มที่จากการการเปิดส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสาร หลุมจอดอากาศยานและรันเวย์ใหม่ รวมถึงการเปิดตัวเที่ยวบินจากสายการบินต่างๆ เพิ่มเติม รวมทั้งปี 2568 บริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ หมายความว่าการเติบโตของกำไรจะไม่ถูกจำกัดมากนัก โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารในปีหน้า อยู่ที่ 130 ล้านราย เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน หนุนจากผู้โดยสารทั้งในและต่างประเทศ

4. ADVANC: บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
มูลค่า Market Cap. ประมาณ 8.17 แสนล้านบาท

มุมมองระยะข้างหน้าของ ADVANC ส่วนใหญ่อยู่ในโทนเป็นกลาง สาระสำคัญ ได้แก่ การปรับเพิ่มของ ARPU ยังเป็นไปได้ แต่จะเริ่มค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น ส่วนเงินลงทุน CAPEX ในระยะถัดไป คาดจะทยอยลดลงหลังลงทุน 5G ไปมากแล้ว ด้าน TTTBB ยังเป็นผลขาดทุนต่อกลุ่ม แต่การขาดทุนจะค่อยๆ ลดลง ขณะที่การใช้ Tax Benefit ยังไม่ได้เกิดขึ้น และการประมูลคลื่นรอบใหม่ ADVANC จะพิจารณาทุกคลื่นที่เปิดประมูลภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม

ตลาดหลักทรัพย์

5. GULF: บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
มูลค่า Market Cap. ประมาณ 6.89 แสนล้านบาท

GULF ยังมีแนวโน้มการเติบโตระยะยาว ทั้งจากธุรกิจไฟฟ้าที่ยังมีกำลังการผลิตในมือที่จะทยอย COD ตลอดปี 2568 จากโรงไฟฟ้า IPP (770 MW) และ Renewable (600-700 MW) เช่นเดียวกับธุรกิจ Data Center ซึ่งมีโมเมนตัมหนุนแข็งแกร่ง ด้วยความเชี่ยวชาญในด้านพลังานไฟฟ้าที่สามารถรองรับความต้องการใช้ที่ค่อนข้างสูงในอุตสาหกรรม DataCenter

6. CPALL: บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
มูลค่า Market Cap. ประมาณ 4.98 แสนล้านบาท

CPALL ยังมีจุดเด่นที่เรื่องของการขยายสาขาร้านสะดวกซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศไทยในปี 2567 บริษัทยังคงเป้าเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 700 สาขา จาก 14,545 สาขา ณ สิ้นปี 2566 ส่วนใหญ่จะเป็นสาขาขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถนําเสนอสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น อายุการใช้งานสินทรัพย์นานขึ้น อีกทั้งยังวางแผนเพิ่มร้าน 7-Eleven ใหม่ มาแตะระดับเกือบ 1,000 สาขาภายใต้คอนเซปต์ “ชุมชน” โดยมีพื้นที่ให้เช่าสําหรับผู้ขายอาหารริมทาง (street food) บริการซักรีด พร้อมที่จอดรถ

ตลาดหลักทรัพย์

7. PTTEP: บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
มูลค่า Market Cap. ประมาณ 4.72 แสนล้านบาท

ราคาน้ำมันที่ผันผวนถือเป็นปัจจัยที่กดดันความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น PTTEP แต่ในทางเดียวกันบริษัทก็ได้ Upside จากปัญหา Geopolitical Risk และในระยะยาวยังมีความคืบหน้าโครงการปิโตรเลียมบริเวณพื้นที่ทับซ้อนไทย vs กัมพูชา (OCA) ทำให้หุ้น PTTEP เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการ Hedging สถานการณ์ในปัจจุบัน

8. SCB: บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน)
มูลค่า Market Cap. ประมาณ 3.95 แสนล้านบาท ในตลาดหลักทรัพย์

มีปัจจัยเสี่ยงจากการเติบโตสินเชื่อที่ชะลอตัว และ NIM ที่ลดลง แต่อย่างไรก็ดี รายได้จากการซื้อขายสุทธิที่ดีและกำไร จากการลงทุนในบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัล น่าจะชดเชยกับ NIM ที่ลดลงได้ อีกทั้ง SCB เป็นบริษัทที่มีความสามารถในการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ และเป็นหนึ่งในหุ้นที่ให้ปันผลดี ผู้บริหารยังคงเป้าหมาย Div. Payout ที่ 80%

9. TRUE: บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
มูลค่า Market Cap. ประมาณ 3.80 แสนล้านบาท

คาดว่าปี 2568 TRUE จะมีการลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เพราะยังมีต้นทุนที่สูงกว่า ADVANC ถึง 26% ความแตกต่างในต้นทุนนี้เกิดจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อพนักงานที่สูงกว่า และจำนวนพนักงานที่มากกว่า เพราะฉะนั้น หาก TRUE สามารถลดตัวเลขดังกล่าวให้ใกล้เคียงกับคู่แข่ง จะหนุนการเติบโตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตลาดหลักทรัพย์

10. BDMS: บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน)
มูลค่า Market Cap. ประมาณ 3.79 แสนล้านบาท

BDMS มีแผนการเปิดโรงพยาบาลใหม่ในปี 2568 คือ โรงพยาบาลพญาไท บ่อวิน (220 เตียง) พร้อมกับการขยายตึกของโรงพยาบาลปัจจุบัน ได้แก่ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ (100 เตียง) ในช่วงต้นปี และโรงพยาบาลกรุงเทพ เชียงใหม่ (90 เตียง) นอกจากนี้ ผู้บริหารมีมุมมองบวกต่อโคงการประกันร่วมจ่าย เนื่องจากเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนมาใช้บริการที่โรงพยาบาลอย่างสมเหตุสมผลมากขึ้น และเบี้ยประกันที่ลดลงจะช่วยดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้คือบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์

อ่านข่าวเพิ่มเติม 

ติดตามเราได้ที่

เว็บไซต์ : https://www.thebangkokinsight.com/
Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
X: https://twitter.com/BangkokInsight
Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yx

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน