Stock

กลยุทธ์หุ้นไทย! มองเป้าหมายสิ้นปีพุ่ง 1,540 จุด แนะลุยหุ้นเด่น 3 กลุ่ม

ส่องกลยุทธ์หุ้นไทย “บล.กรุงศรี” มองทิศทางหุ้นไทยสดใส เตรียมรับเม็ดเงินก้อนใหญ่ ประเมินเป้าหมายสิ้นปีพุ่ง 1,540 จุด แนะลุยหุ้นเด่น 3 กลุ่ม

ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปี 2567 ในทางบวก ประเมินเม็ดเงินใหม่ที่กำลังเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยหลัก ๆ 2 ส่วน ส่วนใหญ่น่าจะเข้ามาในช่วง Q4/67 สูงถึงราว 1.2-1.7 แสนล้านบาท (กองทุนวายุภักษ์ 1.0-1.5 แสนล้านบาท ผสาน เม็ดเงินกองทุน ThaiESG มีผล 3 เดือน เดือนละ 6-7 พันล้านบาท) ต่อยอดด้วยเม็ดเงิน ThaiESG เต็มปีในปี 2568 อีก 7.8 หมื่นล้านบาท จะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2567 ประเมินที่ 1,540 จุด

กลยุทธ์หุ้นไทย

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำลุยหุ้น 3 กลุ่ม ได้แก่

  1. หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2567-2568 ได้แก่ AOT, PTT, KTB
  2. หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCC
  3. หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

บล.กรุงศรี ระบุว่า ตลาดหุ้นไทย ก้าวข้าม EMA 200วัน ที่ระดับ 1,373 จุดแล้ว เชื่อมั่นโอกาสเดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 1,480-1,540 จุด (PER2024 17.3X) หนุนจากการเมืองภายในชัด รวมทั้งเม็ดเงินกองทุน ThaiESG เกณฑ์ใหม่ และกองทุนวายุภักษ์

จากเหตุการณ์ในอดีต SET Index ปี 2546 คือ ปีที่กองทุนวายุภักษ์ 1 เริ่มขึ้น : 1 กรกฎาคม 2546 เป็นจุดเริ่มต้นของ Domestic Long Term Fund ที่ค่อย ๆ แข็งแรงขึ้นหลังพ้นวิกฤตต้มยำกุ้งปี ค.ศ.1997 และหลังจากนั้นราวปี 2547 กองทุน LTF ก็ถือกำเนิดขึ้น

ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยในปี 2546 จากต้นปีที่ 351.52 จุด +31.38% ไปที่ 461.82 จุด ก่อนวันแรกของกองทุนวายุภักษ์ และปรับขึ้นอีก 69.64 ไปสูงสุด 783.44 จุด ในวันที่ 9 มกราคม 2547 หรือขึ้นจากต้นปี 46 ถึง 123%

กลยุทธ์หุ้นไทย

เปรียบเทียบเศรษฐกิจและปัจจัยภายในปี 2546-2547 VS. ปี 2567-2568

1. เศรษฐกิจภายในประเทศกำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวคล้าย ๆ กัน แรงขับเคลื่อนมาจากนโยบายภาครัฐและความเชื่อมั่นว่า GDP Growth ปี 2567 จะขยายตัว 2.4%y-y และปี 2568 ขยายตัว 2.8-3.2% คิดเป็น % Chg เพิ่มราว 50% จากฐานปี 2565-2566 ที่ 2.5-1.9% เช่นเดียวกับปี 2546-2547 ที่ GDP ฟื้นตัว 7.2-6.3% จากฐานปี 2544-2545 ที่ 4.5-6.1%y-y

2. ต่างชาติขายหุ้นไปมาก : ก่อนปี 2546 นักลงทุนต่างชาติเป็นภาพซื้อสลับขายในตลาดหุ้นไทย แต่ในช่วงปี 10 พฤษภาคม 2542- 21 มกราคม 2545 ต่างชาติขายหุ้นไทย -5.12 หมื่นล้านบาท ราว -3.3% ของมูลค่าตลาด และหลังการออกกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีกอง LTF ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิต่อเนื่อง 4 ปี ติด รวมกว่า 2.62 แสนล้านบาท

ขณะที่ภาพปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมาตลอดตั้งแต่ปี 2560 รวมกว่า -7.88 แสนล้านบาท (ซื้อปีเดียวปี 2565 ราว 2.2 แสนล้านบาท) ราว -4.7%ของมูลค่าตลาด ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ขายออกมากเกินไป เป็นโอกาสของนักลงทุนภายในประเทศระยายาว และมีโอกาสเห็นต่างชาติกลับสถานะตามรอบใหญ่ได้อีกครั้ง โดยเฉพาะการที่ MSCI Thailand มีน้ำหนักใน MSCI EM เหลือเพียง 1.44% จากต้นปี 2561 ราว 2.4%+

3. Domestic Long term Fund : เริ่มต้นครั้งแรกจากวายุภักษ์ปี 2546 ราว 1 แสนล้านบาท และในปี 2547 มี LTF เกิดขึ้นกลางปี ยอดรวมซื้อสุทธิปีแรกเพียง 5.4 พันล้านบาท หลังจากนั้นเร่งขึ้นต่อเนื่อง จนปี 2550 มียอดซื้อสุทธิที่ราว 2.3 หมื่นล้านบาท และปี 2560-2562 ซื้อสุทธิเฉลี่ย 6.8 หมื่นล้านบาท การเติบโตที่เร่งขึ้นดังกล่าวเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อตลาดหุ้นไทยเรื่อยมา

ขณะที่การกลับมาของกองทุน TESG ซึ่งถือเป็น LTF รูปแบบใหม่ (หุ้นที่อยู่ใน Universe การลงทุนคล้าย ๆ กัน เพียงแค่อิง ESG มากขึ้น และให้การลดหย่อนสูงสุดได้มากกว่า LTF สำหรับบางฐานภาษี) เชื่อว่าจะทำให้เม็ดเงินจากฝั่งกองทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยเร่งขึ้นต่อเนื่องได้ช่วงถัดไป เป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยวงจรใหม่

กลยุทธ์หุ้นไทย

ขณะที่เศรษฐกิจโลกและทิศทางอัตราดอกเบี้ยปี 2546-2547 VS. ปี 2567-2568 มีจุดต่างคือ ความไม่แน่นอนของวงจรเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐ

1. World GDP Growth ปี 2567-2568 อิง IMF คาด 3.1%y-yเท่ากัน ซึ่งภาพเศรษฐกิจโลก คือ ตัวแปรหลักที่มีความต่างจากปัจุบัน เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปีหน้าทรงตัว หรืออาจชะลอลง เทียบกับในปี 2546 ที่ World GDP โต 3.2% และเร่งขึ้นอีกในปี 2547 โต 4.5% จากเศรษฐกิจโลกขาขึ้นช่วงนั้นอย่างพร้อมเพียงกัน

2. ทิศทางอัตราดอกเบี้ยปี 2567-2568 เริ่มกลับมาเป็นขาลง อิงสหรัฐคาดปีนี้จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย ส่วนไทยมีโอกาสลดดอกเบี้ย 1 ครั้งในสิ้นปี เข้าสู่ Cycle ขาลง เทียบกับปี 2546 ซึ่งสหรัฐเป็น Cycle ของดอกเบี้ยขาลงแต่เป็นช่วงปลาย คือ เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยฯตั้งแต่ปลายปี 2543 จนถึงช่วงกลางปี 2546 และเริ่มหยุดการลดอัตราดอกเบี้ยและช่วงปี 2547 คงอัตราดอกเบี้ยจนถึงกลางปี ส่วนไทยดอกเบี้ยนโยบายเริ่มเป็นขาลงคล้ายปัจจุบัน คือต้นปี 2546 ดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.75% และเริ่มปรับลงรวม 50 bps ในปีนั้นมาอยู่ที่ 1.25%

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK