วิเคราะห์ “Thai ESG” เวอร์ชันใหม่ เป็นบวกต่อหุ้นไทยจริงไหม? เพื่อกระตุ้นตลาดทุน เสริมความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน
Thai ESG เป็นกองทุนลดหย่อนภาษีรูปแบบใหม่ที่เพิ่งเปิดให้ลงทุนครั้งแรกเมื่อปี 2566 โดยมีนโยบายการลงทุนกำหนดให้ลงทุนในหุ้นไทย ต้องอยู่ในดัชนีหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings และตราสารหนี้ไทยที่เป็น ESG Bond ที่ให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืน
ก่อนหน้านี้ Thai ESG สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี ลงทุนสูงสุดได้ไม่เกิน 100,000 บาท และต้องถือลงทุนเป็นเวลา 8 ปีเต็มนับจากวันที่ซื้อ แต่ล่าสุดมีรายงานข่าวออกมาว่าทางกระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงาน ก.ล.ต. กำลังพิจารณาที่จะปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ภาษีของกองทุน Thai ESG
ด้วยการขยายวงเงินลดหย่อนภาษีเป็น 300,000 บาท และปรับลดระยะเวลาการถือครองเหลือเพียง 5 ปีเต็ม เรียกได้ว่าเปิดโอกาสให้ลงทุนมากขึ้น และลดระยะเวลาให้สั้นลง เพื่อกระตุ้นทั้งเม็ดเงินลงทุน รวมทั้งจูงใจให้คนอยากลงทุนมากขึ้น หลังจากนี้คาดว่าจะนำหลักเกณฑ์ดังกล่าว เสนอที่ประชุมครม. เพื่ออนุมัติ ภายใน 2 สัปดาห์ คาดเปิดขายกองทุนได้ประมาณ เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป
Thai ESG และผลบวกต่อหุ้นไทย
บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ประเมินว่า เม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน Thai ESG รอบนี้ น่าจะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET Index ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone ทำให้เป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณของ บล.กรุงศรี จะเห็นว่าช่วงวงจร LTF ในปี 2555-2556 ที่มี Cycle เศรษฐกิจคล้ายกับปัจจุบัน โดยทุกๆ เม็ดเงินใหม่ 1 หมื่นล้านบาทที่เข้าสู่ตลาด จะหนุน SET ราว 20-25จุด ใกล้เคียงกับผลการศึกษาของตลาดที่ประเมิน 25-27 จุด ดังนั้น หากเม็ดเงินเข้ามาใกล้เคียงกับที่ประเมินต่อปี เท่ากับว่าจะหนุน Upside ตลาดอย่างมีนัยสำคัญจากฐานปัจจุบัน
แม้ว่าข้อกำหนดกองทุน Thai ESG ที่ปรับปรุงใหม่จะลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ อาทิ หุ้นในกลุ่ม ESG, พันธบิตร ESG, Green Token รวมถึงหุ้นไทยที่อยู่ในดัชนี ESG ที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสากล อย่างไรก็ตาม หากพิจารณา Valuation ของ SET ปัจจุบันที่อยู่ในโซนลงทุน มี Forward PE ปีนี้ ราว 14.4เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง ในขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจกำลังมีแนวโน้มเร่งมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี เชื่อว่าเม็ดเงินส่วนใหญ่ที่เข้ามาจะอยู่ในฝั่งตลาดหุ้นเป็นหลัก
ปัจจุบันกลุ่มที่มี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อาทิ ธนาคาร วัสดุก่อสร้าง การแพทย์ อสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว ขนส่ง และปิโตรเคมี เป็นต้น ในเชิงกลยุทธ์ จึงประเมินหุ้นที่จะได้ประโยชน์สูงจาก Thai ESG ใหม่ โดยมีคุณสมบัติดังนี้
1. หุ้นที่ราคาปรับลง YTD สูง vs SET -6.6%
2. หุ้นที่มีน้ำหนักในดัชนี SETESG ค่อนข้างมาก
3. หุ้นที่มีสัดส่วนสถานะ Short-Selling คงค้างเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาด
โดยพบว่าหุ้นในดัชนี SETESG ที่เด่นสุดได้แก่ BTS, SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์อีกกลุ่มจะเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูง อาทิ GULF, AOT, MTC, CPALL, GPSC
ด้าน บล.เมย์แบงก์ เปิดเผยว่า มองเป็นบวกต่อมาตรการ Thai ESG ใหม่นี้ โดยเฉพาะประเด็นการลดระยะเวลาการถือครองที่สั้นลง คาดเม็ดเงินเข้ากองทุนจะอยู่ในช่วง 3-4 หมื่นล้านบาทเทียบกับ LTF ที่ซื้อในช่วง 4.5 – 7.7 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลการซื้อ LTF ในอดีตพบว่าผู้มีรายได้มากกว่า 1 ล้านบาทต่อปี มีการซื้อ LTF เฉลี่ย 1.5 แสนบาทต่อราย วงเงินดังกล่าวจึงถือเป็นการประเมินแบบ Conservative
ทั้งนี้ คาดว่าจะช่วยหนุน SET Index ได้ระดับ 5-8% สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการ Thai ESG ใหม่ ประเมินใน 2 แง่มุม
1. หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเม็ดเงินไหลเข้าในระดับสูง ได้แก่ CPALL, GULF, ADVANC, CPN, MINT
2. หุ้นที่คาดเม็ดเงินไหลเข้าเทียบกับมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูง ได้แก่ SABINA, CK, ERW
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายนี้ต้องรอความชัดเจนในด้านนโยบายอีกครั้ง หากไม่มีอะไรผิดพลาดเราคงได้เห็นมาตรการออกมาในเร็วๆ นี้ เพื่อกระตุ้นตลาดทุนและเสริมความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนไทย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เปิดโผ 5 หุ้นใหญ่ ราคาถูกสุดในรอบ 10 ปี
- พรีวิว ‘หุ้น’ เต็งแชมป์ ‘ฟุตบอลยูโร 2024’
- หุ้นโรงกลั่นพลิกฟื้น เข้าจังหวะไหนดีที่สุด?
ติดตามเราได้ที่
เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
X (Twitter): https://twitter.com/BangkokInsight
Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg