“บล.โกลเบล็ก” ประเมินหุ้นไทยครึ่งปีหลังแกว่งกรอบ 1,400-1,700 จุด ภายใต้ 3 สถานการณ์ พร้อมแนะ 13 หุ้นเด่นน่าลงทุน!
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลัง 2566 ให้กรอบดัชนีที่ 1,400-1,700 จุด ภายใต้ 3 สถานการณ์ ดังนี้
1. Best Case มองว่าหากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้จะทำให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความเชื่อมั่นและหันกลับมาเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น และคาดหวังการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนที่เพิ่มขึ้นเท่ากับระดับก่อนเกิด COVID-19 จะช่วยหนุนดัชนีเพิ่มเติม เราประเมินกรอบดัชนีที่ 1,600-1,700 จุด
2. Base Case ฝ่ายวิจัยคาดว่า Base Case มีโอกาสสูงที่สุดประเทศไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้และดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่ได้หาเสียงไว้ ทั้งการปรับเพิ่มค่าแรง และสวัสดิการต่าง ๆ ที่เตรียมให้ประชาชนช่วยหนุนให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประเมินกรอบดัชนีที่ 1,500-1,600 จุด
3. Worst Case คาดว่าปัจจัยที่จะทำให้เกิด Worst Case มาจากสงครามคู่ใหม่ระหว่างสหรัฐและจีน โดยจะมาในรูปแบบสงครามตัวแทน ซึ่งเกิดในกลุ่มประเทศ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีเหนือ และจีนจะส่งผลให้นักลงทุนเทขายในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ นอกจากนี้ ปัจจัยภายในหากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้จะทำให้เม็ดเงินไหลออกจากประเทศกลับไปยังสหรัฐที่มีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในระดับสูงเพิ่มขึ้น เราประเมินกรอบดัชนีที่ 1,400-1,500 จุด
ทั้งนี้ หากมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่แล้วเสร็จ สามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนครบกำหนดเวลางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ที่จะสิ้นสุดปลายเดือนกันยายนนี้เพื่อให้ทันการเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงเดือนตุลาคม 2566 อีกทั้งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยพยุงค่าเงินบาทและอาจช่วยให้ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าได้
นอกจากนี้ คาดว่าสถานการณ์การส่งออกของไทยในครึ่งปีหลัง 2566 จะสามารถพลิกกลับเป็นบวกได้ จากตัวเลขภาคการส่งออกที่มีสัดส่วนต่อ GDP เกือบ 60% ได้ติดลบต่อเนื่อง 7 เดือน (ต.ค.65-เม.ย.66) ติดต่อกัน คาดว่าดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,400-1,700 จุด
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาปัจจัยลบจากธนาคารกลางของแต่ละประเทศที่มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ ซึ่งล่าสุดธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางตุรกี ได้มีการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อกดให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทยอยปรับลดลงสู่ระดับเป้าหมาย ขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ สอดคล้องกับที่ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ซึ่งเป็นองค์กรหลักของธนาคารกลางโลกเรียกร้องให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น
แนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้น 4 กลุ่มเด่น ได้แก่
- หุ้น Domestic Play คาดได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ CPALL, HMPRO และ CPAXT
- หุ้นท่องเที่ยว จากจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาขยายตัวเนื่องจากเป็น High Season ได้แก่ ERW, CENTEL และ AOT
- หุ้นกลุ่มธนาคาร ได้รับผลบวกจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ได้แก่ BBL, KTB และ TTB
- หุ้นผลประกอบการเด่น ได้แก่ AUCT, XO, CEYE และ PJW
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ประเมินหุ้นไทยครึ่งปีหลัง! แย่สุดดิ่ง 1,400-1,500 จุด สงครามคู่ใหม่-ตั้งรัฐบาลไม่ได้!
- ‘กูรูหุ้น’ แนะ 5 เทคนิคอ่านงบการเงิน : พบหุ้นดี หนีหุ้นแย่!!
- SCBS มองหุ้นไทยครึ่งปีหลังยังแข็งแกร่ง คาดแกว่งกรอบ 1,550-1,750 จุด