ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ของสหรัฐ ปิดซื้อขายวานนี้ (23 มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ “ดาวโจนส์” ขยับขึ้นเล็กน้อย ไม่ถึง 100 จุด หลัง “เจเน็ต เยลเลน” ให้คำมั่นว่าจะใช้มาตรการเพิ่มเติม เพื่อปกป้องเงินฝากธนาคารของชาวอเมริกัน ทั้งยังได้แรงหนุนจากการร่วงลงของบอนด์ยีลด์ และธนาคารกลางสหรัฐ ส่งสัญญาณใกล้ยุติวงจรขึ้นดอกเบี้ย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 32,105.25 จุด เพิ่มขึ้น 75.14 จุด หรือ +0.23% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,948.72 จุด เพิ่มขึ้น 11.75 จุด หรือ +0.30% และดัชนีแนสแด็กปิดที่ 11,787.40 จุด เพิ่มขึ้น 117.44 จุด หรือ +1.01%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้น หลังจากนางเยเลนแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการจัดสรรงบประมาณของสภาคองเกรสว่า กระทรวงการคลังมีความพร้อมที่จะใช้มาตรการเพิ่มเติม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า เงินฝากธนาคารของชาวอเมริกันจะยังคงปลอดภัย ในช่วงเวลาที่ภาคธนาคารสหรัฐเผชิญภาวะปั่นป่วน
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย พุ่งขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลดลง และเฟดส่งสัญญาณยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ซึ่งเปิดเผยในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (22 มี.ค.) นั้น เจ้าหน้าที่คาดว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดจนถึง 5.1% ในปีนี้ บ่งชี้ว่า จะขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง หลังการประชุมครั้งนี้ ทั้งยังคาดว่า จะลดดอกเบี้ย 0.8% ในปี 2567 และ 1.2% ในปี 2568
กระทรวงแรงงานสหรัฐ ยังเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 1,000 ราย มาอยู่ที่จำนวน 191,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 198,000 ราย
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ ลดลงสู่ระดับ 196,250 ราย โดยปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 200,000 รายเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน
กระทรวงแรงงานสหรัฐ รายงานด้วยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 14,000 ราย สู่ระดับ 1.69 ล้านราย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘แบงก์ชาติสหรัฐ’ ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด ส่งสัญญาณใกล้ยุติวงจรขาขึ้น
- นักเศรษฐศาสตร์ชี้ ‘พาวเวล’ ไม่หยุดขึ้นดอกเบี้ย จนกว่า ‘เศรษฐกิจสหรัฐ’ ถดถอย
- ‘เจพีมอร์แกน’ คาด ‘วิกฤติธนาคาร’ ทำ ‘เศรษฐกิจโลก’ เสี่ยงเจอภาวะ ‘Minsky Moment’