Stock

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับขึ้น 31.5% พุ่งสู่เกณฑ์ร้อนแรงอย่างมาก!

“FETCO” เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 160.07 เพิ่มขึ้น 31.5% จากเดือนก่อนเข้าสู่เกณฑ์ “ร้อนแรงอย่างมาก” หลังท่องเที่ยวฟื้นตัว

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือเดือนเมษายน 2566 อยู่ที่ระดับ 160.07 ปรับเพิ่มขึ้น 31.5% จากเดือนก่อนหน้าเข้าสู่เกณฑ์ “ร้อนแรงอย่างมาก” จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือเงินทุนไหลเข้าและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ

ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน

สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ นโยบายการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการประกาศจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับเพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่ม 29.8% อยู่ที่ระดับ 166.67 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 60.4% อยู่ที่ระดับ 137.50 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่ม 42.1% อยู่ที่ระดับ 150.00 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับเพิ่ม 28.0% อยู่ที่ระดับ 160.00

ทั้งนี้ ในช่วงเดือนมกราคม 2566 ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบระหว่าง 1,663.86-1,691.41 จุด โดยมีปัจจัยหนุนภายนอกจากแนวโน้มการชะลอตัวในการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด การชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศเศรษฐกิจสำคัญ และการเปิดประเทศของจีน ส่งผลให้นักลงทุนคลายกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล

ส่วนของปัจจัยในประเทศแม้ได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว แต่นักลงทุนยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อมากว่า 1 ปี

ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 4 ปี 2565 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และความกังวลต่อการประกาศจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้านนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิในเดือนมกราคม 2566 กว่า 18,997 ล้านบาท

ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน

สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น แนวโน้มการเลิกจ้างงานโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลก และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19

ส่วนปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ได้อานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน การส่งออกสินค้าที่อาจจะชะลอลงตามอุปสงค์ประเทศคู่ค้าสำคัญ โอกาสในการเป็นฐานการผลิตหลังหลายประเทศเริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากจีน รวมถึงจับตามองการนับถอยหลังสู่การยุบสภาและผลการเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งจะสะท้อนทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2566

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK