ขึ้นชื่อว่า “ภาษี” บอกเลยว่า ใครๆ ก็ปวดหัว โดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“แม่ค้าตลาดนัด – แม่ค้าออนไลน์” ก็เป็นหนึ่งในบรรดาอาชีพอิสระยอดฮิต ซึ่งหลายคนมีรายได้ดี และแน่นอนว่าต้อง เสียภาษี ด้วย แต่อย่าเพิ่งเอามือก่ายหน้าผากกันหมด เพราะ กรมสรรพากร ได้แนะนำวิธีคำนวณภาษีง่าย ๆ มาฝากกัน
“แม่ค้าตลาดนัด – แม่ค้าออนไลน์” มีรายได้แค่ไหน ต้อง เสียภาษี?
ตามกฎหมายมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้เงินที่ได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม และการขนส่ง เป็นเงินได้พึงประเมินซึ่งต้องเสียภาษี
สำหรับแม่ค้าตลาดนัดและแม่ค้าออนไลน์สามารถหักลดค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% และในกรณีที่มีค่าลดหย่อน เฉพาะค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท จะสามารถนำฐานรายได้ มาคำนวณอัตราการจ่ายภาษีคร่าว ๆ ได้ดังนี้
- รายได้ทั้งปีระหว่าง 60,000 – 525,049 บาท ต้องยื่นภาษีเงินได้ แต่ไม่ต้องเสียภาษี
- รายได้ทั้งปีระหว่าง 525,050 บาท ต้องยื่นแบบภาษีเงินได้และต้องเสียภาษีเริ่มต้น 1 บาท
- รายได้ทั้งปีตั้งแต่ 1,000,001 บาท ต้องเสียภาษี 11,500 บาท
- รายได้ทั้งปีตั้งแต่ 2,000,000 บาท ต้องเสียภาษี 63,500 บาท
อย่างไรก็ตาม หากเหล่าพ่อค้าแม่ค้ามีเอกสารค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เช่น ค่าวัตถุดิบ ต้นทุนการผลิต ต้นทุนสินค้า ค่าขนส่ง ค่าจ้างลูกจ้าง หรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขาย และพิสูจน์ได้ว่า มีค่าใช้จ่ายจริงมากกว่าการหักค่าใช้จ่ายเหมา เมื่อนำรายได้ไปคำนวณภาษีแล้ว จะสามารถลดจำนวนเงินภาษีที่ต้องเสียเพิ่มได้อีก
นอกจากนี้ หากมีรายได้จากการขายทั้งปีเกิน 1,800,000 บาทขึ้นไปก่อนหักค่าใช้จ่าย ซึ่งรายรับจากการขายนี้ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ของรายได้ พ่อค้าแม่ค้าต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 นับ หลังจากมียอดขายเกิน 1,800,000 ล้านบาท โดยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) และเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (ถ้ามี)
ในกรณีที่พ่อค้าแม่ค้ายื่นแบบประเภทภาษีบุคคลธรรมดาในปีนี้ จะสามารถยื่นค่าลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้สูงสุดถึง 23 รายการ ดังนี้
ลดหย่อนภาษี เพื่อตนเองและครอบครัว
ค่าลดหย่อนส่วนตัว : ลดหย่อนได้ 60,000 บาท ที่นำไปหักจากรายได้ที่ต้องยื่นภาษีเงินได้ โดยเป็นสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ยื่นภาษีทุกคน สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ค่าลดหย่อนคู่สมรส : จำนวน 60,000 บาท แต่มีเงื่อนไขว่าคู่สมรสไม่มีรายได้ ไม่ว่ากรณีสามี หรือ ภรรยา เป็นผู้ไม่มีรายได้ และมีเงื่อนไขว่าต้องจดทะเบียนสมรส อีกทั้งต้องอาศัยอยู่ในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 180 วัน
ค่าลดหย่อนบุตร : ค่าลดหย่อนสำหรับผู้ที่มีบุตรได้คนละ 30,000 บาท แต่ภายหลังนโยบายรัฐบาลสนับสนุนให้คนมีบุตร จึงแก้ไขประมวลรัษฎากรใหม่ สำหรับบุตรคนที่ 2 และเกิดตั้งแต่ปี 2561 สามารถลดหย่อนบุตรตั้งแต่คนที่ 2 คนละ 60,000 บาท โดยมีเงื่อนไขต้องเป็นบุตรโดย “ชอบด้วยกฎหมาย”
สำหรับกรณีผู้ที่มี “บุตรบุญธรรม” เพียงอย่างเดียว สามารถลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท แต่ถ้ามีทั้งบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย และบุตรบุญธรรม ให้นับจำนวนลดหย่อนบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย จากนั้นจึงลดหย่อนบุตรบุญธรรม แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 3 คน
ค่าลดหย่อนบิดามารดา : ให้ลดหย่อน ภาษี ได้คนละ 30,000 บาท สำหรับผู้เสียภาษีที่ดูแลพ่อแม่ อย่างไรก็ตาม ในกรณีพ่อแม่เสียชีวิตระหว่างปี ภาษี ก็สามารถหักค่าลดหย่อนในปีภาษีนั้นได้เช่นกัน (พี่น้องสามารถเปลี่ยนสิทธิยื่นค่าลดหย่อนบิดามารดาได้ แต่ต้องเป็นคนละปีภาษี)
ค่าลดหย่อนดูแลผู้พิการหรือทุพพลภาพ : ให้ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท สำหรับผู้ดูแลผู้พิการหรือทุพพลภาพ ซึ่งกรณีค่าลดหย่อนประเภทมีการจำแนกเป็น 2 กรณี คือ กรณีแรก หากเป็นบุตร คู่สมรส หรือ พ่อแม่ ให้ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท และกรณีที่ 2 เป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่กรณี ให้ลดหย่อนได้ 60,000 บาทเช่นกัน แต่ได้คนเดียว
ทั้งนี้ ค่าลดหย่อนผู้พิการหรือทุพพลภาพ เป็นสิทธิลดหย่อนนอกเหนือจาก ค่าลดหย่อนคู่สมรส ค่าลดหย่อนบุตรและค่าลดหย่อนบิดามารดา หากคู่สมรส บุตร หรือ บิดามารดา เป็นผู้พิการด้วย ให้หักค่าลดหย่อนประเภทนี้เพิ่มขึ้นจากค่าลดหย่อนแต่ละประเภทได้
ค่าฝากครรภ์และทำคลอด : หักได้ตามจริง แต่ไม่เกินท้องละ 60,000 บาท สำหรับกรณีลูกแฝดนับเป็นท้องเดียว
เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป : หักค่าลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท กรณีประกันชีวิตทั่วไปให้ตัวเอง โดยรวม “เงินฝากแบบมีประกันชีวิต” ด้วย นอกจากนี้ กรณีเบี้ยประกันคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ให้หักค่าลดหย่อนได้ แต่ไม่เกิน 10,000 บาท (ต้องเป็นคู่สมรสตลอดปีภาษี)
เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา : ประกันสุขภาพพ่อแม่ หักลดหย่อนตามที่จ่ายจริง รวมไม่เกิน 15,000 บาท และในกรณีคู่สมรสไม่มีรายได้ ก็สามารถนำประกันสุขภาพของพ่อแม่คู่สมรสไปหักลดหย่อนได้ ไม่เกินปีละ 15,000 บาท เช่นเดียวกัน
เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง : ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 ผู้ซื้อประกันสุขภาพให้ตนเองสามารถลดหย่อนได้ แต่ต้องไม่เกิน 25,000 บาท และ เมื่อรวมกับ “เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป” และ “เงินฝากแบบมีประกัน” ต้องไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ ต้องเป็นการคุ้มครองประกันสุขภาพที่รับประกันโดยบริษัทประกันชีวิต หรือ บริษัทประกันวินาศภัยในไทย
ลดหย่อน ภาษี เพื่อการลงทุน
กบข./กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กองทุนสงเคราะห์โรงเรียนครูเอกชน : ทั้ง 3 ประเภท คือ เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ กองทุนสงเคราะห์โรงเรียนเอชน ให้หักค่าลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 500,000 บาท แต่กรณีกองทุนสำรองเลี้ยง มีเงื่อนไขเพิ่มเติม หักได้ไม่เกิน 15% ของค่าจ้าง
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) : หักค่าลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท แต่หากผู้มีเงินได้จ่ายเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. หรือ กองทุนสงเคราะห์โรงเรียนเอกชน เมื่อรวมกันแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ : ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสีย ภาษี และไม่เกิน 200,000 บาท แต่หากไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี “เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป” สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท
เงินประกันสังคม : ลดหย่อนตามที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกินปีละ 9,000 บาท เนื่องจากอัตราการหักเงินสมทบสูงสุด 750 บาทต่อเดือน
เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.): ลดหย่อนตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินปีละ 13,200 บาท สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีระบบสวัสดิการสังคมอื่น
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) : เงินซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม ( Super Saving Fund : SSF) ตามที่มีการลงทุนจริงในแต่ละปี แต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และไม่เกิน 200,000 บาท โดยต้องถือให้ครบ 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ เริ่มตั้งแต่ปี 2563-2567
เมื่อรวมกับ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. หรือ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน รวมถึง กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญและกองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
กองทุนรวมเพื่อการออมแบบพิเศษ (Super Saving Fund Extra : SSFX) : ผู้ต้องการลดหย่อนต้องซื้อกองทุนประเภทนี้ ระหว่าง 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563 ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่อยู่อาศัย : ใช้ลดหย่อนตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับผู้กู้เงินซื้อที่อยู่อาศัย
ค่าธรรมเนียมจากการรับชำระเงินด้วยบัตรเดบิต : ให้ลดหย่อนได้เพิ่ม 1 เท่าจากจำนวนที่จ่ายจริง ในกรณีผู้เสียภาษีรับชำระค่าธรรมเนียมด้วยบัตรเครดิต ระหว่าง 1 พฤศจิกายน 2559-31 ธันวาคม 2564 โดยเฉพาะการรับชำระประเภท ค่าเช่า ค่าวิชาชีพอิสระ ค่ารับเหมา หรือเงินได้การประกอบธุรกิจ
ลดหย่อนภาษีตามนโยบายรัฐ
เงินบริจาคพรรคการเมือง : ลดหย่อน ภาษี ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
ค่าซื้อโครงการบ้านหลังแรก : สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรกในปี 2558-59 ใช้เป็นค่าลดหย่อนได้สูงสุดปีละ 120,000 บาท ที่ซื้อบ้านหลังแรกระหว่างวันที่ 13 ตุลาคม 2558 – 31 ธันวาคม 2559 ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยปีนี้เหลือใช้สิทธิเป็นปีสุดท้ายสำหรับคนที่ซื้อในปี 2559
ค่าซื้อสินค้าหรือบริการในประเทศ (ช้อปดีมีคืน) : ใช้ลดหย่อนตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 30,000 บาท สำหรับค่าซื้อสินค้า หรือค่าบริการ ระหว่าง 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 สำหรับร้านค้าที่ร่วมบริการ และยังรวมถึงค่าธรรมเนียมจากการลงทุนในหลักทรัพย์ด้วย
เงินบริจาคเพื่อการศึกษา : ลดหย่อน ภาษี ได้ 2 เท่าของเงินที่บริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น
เงินบริจาคทั่วไป : ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย เช่น บริจาคให้กับวัด สภากาชาดไทย สถานพยาบาลและสถานศึกษาของทางราชการ หรือองค์กรของรัฐบาล สถานศึกษาเอกชน กองทุนสวัสดิการ โดยมีรายชื่อองค์กรที่มีสิทธิ์ขอหักค่าลดหย่อนที่กรมสรรพากร
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ขอคืนภาษี’ มีปัญหา กรมสรรพากรแนะช่องทางแก้ไขด้วยตัวเอง
- สรุปง่ายๆ จ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เลื่อนเป็น มิ.ย. ให้ผ่อนได้ 3 เดือน
- ‘ครม.’ ไฟเขียวลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง-ค่าจดจำนองเหลือ 0.01%