Personal Finance

ส่องหุ้นประกันภัย กับกรณี ‘ตึกถล่ม’

จับตาหุ้นประกันภัย กับกรณี “ตึกถล่ม” พร้อมสำรวจฐานะการเงิน 4 บริษัทประกันภัย

จากกรณีแผ่นดินไหวในประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งสร้างผลกระทบที่รุนแรงสุดในรอบกว่า 100 ปี อีกทั้งยังเกิดเหตุอาคารก่อสร้างตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่มลงมา โดยได้สร้างความสูญเสียจำนวน ทั้งมีผู้เสียชีวิตและสูญหาย

ซึ่งอาคารสำนักงาน สตง. ที่ถล่มลงมานั้นอยู่ระหว่างการก่อสร้างในพื้นที่เขตจตุจักร ความสูง 30 ชั้น ใช้งบประมาณก่อสร้าง 2,136 ล้านบาท และมีความคืบหน้าไปแล้ว 30% ก่อนได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว

แน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้าง Sentiment เชิงลบต่อตลาดหุ้นไทยพอสมควร แต่กลุ่มที่ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบหนักสุด คงหนีไม่พ้นหุ้นกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนั้นยังมีหุ้นอีกกลุ่มที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ คือ ประกันภัยที่มีความเกี่ยวข้องกับอาคารสำนักงาน สตง. โดยเฉพาะบริษัทที่อาจได้รับผลกระทบจากการจ่ายสินไหมทดแทนจากความเสียหายของอาคารที่อาจต้องรับผิดชอบในส่วนนี้

4 บริษัทประกันภัย

จากการตรวจสอบข้อมูล พบว่า อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัย ผ่านโบรกเกอร์ บริษัท สยาม คอนซัลแตนท์ แอนด์ โบรกเกอร์ จำกัด โดยมี 4 บริษัทประกันภัยชั้นนำร่วมรับประกัน ประกอบไปด้วย

1. บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ หุ้น TIPH รับประกันในสัดส่วน 40%

2. บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ หุ้น BKIH รับประกันในสัดส่วน 25%

3. บริษัท อินทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ หุ้น INSURE รับประกันในสัดส่วน 25%

4. บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับประกันในสัดส่วน 25%

อย่างไรก็ดี หลังเกิดเหตุการณ์ ทางบริษัทประกันภัยต่างๆ ได้ออกมาชี้แจงถึงประเด็นนี้ โดย INSURE ระบุว่าไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานะการเงินของบริษัท ด้าน BKIH เผยว่าได้จัดทำสัญญาประกันภัยต่อความเสียหาส่วนเกิน ในขณะที่ TIPH ได้มีการจัดทำประกันภัยต่อในสัดส่วน 10% ของทุนเอาประกันภัย ส่วนเงื่อนไขพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จะต้องดูจากมูลค่าของอาหาร ณ เวลาเกิดเหตุ ซึ่งจะถูกประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ

4 บริษัทประกันภัย

สำรวจฐานะการเงิน 4 บริษัทประกันภัย

ทิพยประกันภัย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) สูงถึง 222.41%  สูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงาน คปภ. กำหนดไว้ที่ 140% อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเงินกองทุนที่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมด 7,557.59 ล้านบาท และเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย 3,398.07 ล้านบาท

กรุงเทพประกันภัย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนอยู่ที่ 198.35% โดยมีเงินกองทุนที่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมด 39,905.03 ล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมายอยู่ที่ 20,118.10 ล้านบาท

อินทรประกันภัย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนถึง 434.61% ถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มบริษัทประกันภัยที่ร่วมรับประกันอาคาร สตง. โดยมีเงินกองทุนที่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมด 1,300.48 ล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมายอยู่ที่เพียง 299.23 ล้านบาท

วิริยะประกันภัย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน 198.35% โดยมีเงินกองทุนที่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมดสูงถึง 39,905.03 ล้านบาท

จะเห็นว่าฐานะการเงินของทั้ง 4 บริษัทประกันภัย ที่ร่วมรับประกันอาคาร สตง. ทุกบริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนสูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด สะท้อนความพร้อมในการรับมือกับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังคือ วิกฤตศรัทธาที่อาจเกิดขึ้นในหมู่นักลงทุน  สถานการณ์นี้มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้บริษัทประกันภัยหลายแห่งต้องประสบปัญหาหนัก ซึ่งสร้างความเสียหายมากทีเดียวต่อตลาดหุ้นในช่วงนั้น

อ่านข่าวเพิ่มเติม 

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน