“เศรษฐพุฒิ” ผู้ว่าการ ธปท. ยืนยัน ค่าเงินบาท อ่อน มีสาเหตุหลักมาจากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ไม่เกี่ยวกับเงินทุนเคลื่อนย้าย ย้ำไม่ฝืนทิศทางตลาด เพราะเคยมีบทเรียนมาจากวิกฤติการเงิน ปี 2540 แล้ว
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในระยะนี้ มาจากปัจจัยดอลลาร์แข็งค่าเป็นหลัก โดยดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาถึง 17-18% พร้อมย้ำว่า การที่เงินบาทอ่อนค่า ไม่ได้เป็นเพราะมีเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกอย่างมีนัยสำคัญ โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงล่าสุด พบว่ามีเงินไหลเข้าสุทธิราว 3,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการอ่อนค่าของเงินบาท ถือว่ายังเป็นการอ่อนค่าอยู่ในระดับกลาง ๆ เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค
“การอ่อนค่าของเราไม่ได้เพี้ยนไปจากภูมิภาค อยู่ในระดับกลาง ๆ ของกลุ่ม มีคำถามว่า บาทอ่อน เป็นเพราะเงินทุนไหลออกจากส่วนต่างดอกเบี้ยจริงเปล่า คำตอบคือ ไม่ ในภาพรวมเราไม่ได้เห็นเงินทุนไหลออกอย่างมีนัยสำคัญ”
ธปท.จะไม่ฝืนทิศทางตลาด เพราะรู้ว่าทำไม่ได้ เราเคยมีบทเรียนจากวิกฤติปี 2540 มาแล้ว
ยืนยัน ค่าเงินบาท อ่อน ไม่ใช่ประเทศขาดเสถียรภาพ
ผู้ว่าการ ธปท. ยังย้ำว่า การที่ได้เห็นเงินบาทอ่อนค่าไปแตะระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์ ไม่ได้หมายความว่าประเทศขาดเสถียรภาพ เพราะเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ อยู่ในระดับสูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลก โดยเงินทุนสำรองฯ ต่อหนี้ต่างประเทศระยะสั้น มีสัดส่วนอยู่ที่ 3.2 เท่า ตลอดจนฐานะการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ก็มีความแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน ขณะที่คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย จะสามารถกลับมาเกินดุลได้ในปี 2566
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง และทั่วถึงมากขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว และตลาดการเงินจะมีความผันผวนสูงก็ตาม โดยคาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไทย ปี 2565 โต 3.3% ก่อนขยายตัวเป็น 3.8% ในปี 2566 จากแรงส่งหลักจากการบริโภคภาคเอกชน และภาคท่องเที่ยว โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ จะอยู่ที่ 9.5 ล้านคน และเพิ่มเป็น 21 ล้านคนในปีหน้า
“ตอนนี้ เริ่มเห็นการบริโภคในประเทศฟื้นตัวจากรายได้ ทั้งใน และนอกภาคเกษตร แต่อีกตัวที่จะมาช่วยเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คือเรื่องท่องเที่ยว เพราะถ้าท่องเที่ยวไม่ฟื้น เศรษฐกิจไทยคงจะฟื้นต่อได้ยาก เพราะรายได้จากการท่องเที่ยว คิดเป็น 12% ของจีดีพี ส่งผลให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรง และทางอ้อม หรือ 1 ใน 5 ของการจ้างงานโดยรวม”
นายเศรษฐพุฒิ แสดงความเชื่อมั่นด้วยว่า จะเห็นเศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิดได้ราวปลายปีนี้ ถึงต้นปีหน้า
คาดปี 2566 เงินเฟ้อกลับสู่กรอบเป้าหมาย
สำหรับสถานการณ์เงินเฟ้อไทยนั้น ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (ซีพีไอ) อยู่ที่ประมาณ 7% ซึ่งถือว่าสูง หลุดกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินที่ระดับ 1-3%
เงินเฟ้อที่สูงมาจากด้านอุปทานเป็นสำคัญ และคาดว่าจะเริ่มทยอยคลี่คลายลง เข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในช่วงกลางปี 2566 โดยคาดว่า ตลอดทั้งปี 2566 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะเฉลี่ยอยู่ที่ 2.6% จากในปีนี้เฉลี่ยที่ 6.3%
อย่างไรก็ดี ต้องจับตาเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) อย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นตัวที่สะท้อนว่าเครื่องยนต์เงินเฟ้อของประเทศติดมากน้อยเพียงใด แต่เงินเฟ้อพื้นฐานในระยะหลัง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงแล้ว
ส่วนการดำเนินนโยบายการเงินของไทยนั้น โจทย์สำคัญที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือต้องทำให้เศรษฐกิจไทย ยังฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ในลักษณะของ Smooth takeoff การฟื้นตัวไม่สะดุด โดยมองว่าบริบทด้านเศรษฐกิจของไทย แตกต่างจากในต่างประเทศ ทั้งฝั่งอเมริกา และยุโรป ที่พยายามจะลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ และทำให้เศรษฐกิจเป็นลักษณะ Smooth Landing
ขึ้นดอกเบี้ยค่อยเป็นค่อยไปเหมาะสมเศรษฐกิจไทย
ดังนั้นเมื่อบริบทของเศรษฐกิจแตกต่างกัน การดำเนินนโยบายการเงินของไทยจึงต่างกัน การขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงมีความเหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจของประเทศมากกว่าการเร่งขึ้นดอกเบี้ยแบบเร็วและแรง
“ยอมรับว่าที่ผ่านมา ดอกเบี้ยของเราต่ำอย่างผิดปกติมายาวนาน ดังนั้นต้องปรับให้กลับเข้าสู่ภาวะที่ปกติ เพื่อดูแลเงินเฟ้อไม่ให้สูง แต่เราก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็ว และแรงแบบที่ทางสหรัฐอเมริกา หรือทางยุโรปทำกัน เพราะบริบทของเราไม่เหมือนกับเขา”
เมื่อมองไปข้างหน้าการที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น จะต้องประกอบไปด้วย 3 แนวทาง คือ
1. การดูแลเรื่องหนี้ครัวเรือน เพื่อให้ทยอยปรับลดลง จากปัจจุบันที่หนี้ครัวเรือน ไตรมาส 2/65 อยู่ที่ระดับ 88% ของจีดีพี ซึ่งจะต้องมีการแก้ปัญหาอย่างครบวงจร ทำให้ถูกหลักการ โดยจะไม่ใช้มาตรการช่วยเหลือแบบปูพรม ไม่ออกมาตรการที่สร้างภาระเพิ่มให้แก่ลูกหนี้ ขณะเดียวกันจะต้องไม่ลดโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อ
2. ดูแลความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ให้ภาคการเงินช่วย Facilitate ให้เศรษฐกิจเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน
3. จัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินดิจิทัล เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ โดยเร่งผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน Digital payments เช่น cross border payment PromptBiz และ dStatement
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ผู้ว่าฯ ธปท.’ มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ลั่น ‘กนง.’ นัดพิเศษยังไม่จำเป็น!
- ‘อาคม’ มอง ‘ค่าเงินบาท’ ผันผวนตามปัจจัยภายนอก สั่ง ‘ธปท.’ ติดตามใกล้ชิด
- ‘SCBEIC’ คาด ‘กนง.’ ทยอยขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ก่อนขยับสู่ 2% ในปี 66