Finance

‘กอบศักดิ์’ สะท้อนภาพ หมดยุคดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน สู่ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น จะเกิดอะไรขึ้น??

“กอบศักดิ์” ชี้หมดยุคดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน เงินเฟ้อพุ่งดันโลกเข้าสู่ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น เตือนอย่าสร้างหนี้ ระมัดระวังการใช้จ่าย

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL)  โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก กอบศักดิ์ ภูตระกูล เรื่อง ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น!! ยุคที่เราต้องระวังเรื่องการใช้จ่าย กำลังเริ่มแล้ว โดยระบุว่า

ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น

เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา กำลังทำให้ ยุคดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน จบลง

ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะการสู้สงครามกับเงินเฟ้อของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายแต่ละประเทศ ต้องปรับขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง

โดยในเวลาไม่ถึงปี

  • สหรัฐ ขึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้ง รวม +3.0%
  • สหภาพยุโรป ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง รวม +1.25%
  • อังกฤษ ขึ้นดอกเบี้ย 7 ครั้ง รวม +2.15%
  • ออสเตรเลีย 5 ครั้ง รวม +2.25%
  • ฟิลิปปินส์ 5 ครั้ง รวม +2.25%
  • มาเลเซีย 3 ครั้ง รวม +0.75%
  • อินโดนีเซีย 2 ครั้ง รวม +0.75%
  • ไทย 2 ครั้ง รวม +0.5%

เมื่อธนาคารกลางขยับ ดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรต่าง ๆ ก็จะขยับตามเป็นขบวนแรก ทั้งดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล และดอกเบี้ยหุ้นกู้ของเอกชน บางครั้ง ขึ้นก่อนธนาคารกลางปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วยซ้ำไป

ส่วนดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ก็เช่นกัน ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามสัญญาณจากธนาคารกลาง เป็นขบวนถัดมา

ในสหรัฐ JPMorgan Chase Bank แบงค์ที่ใหญ่ที่สุด ได้ปรับ Prime Lending Rate ขึ้น 5 ครั้ง

จาก 3.25% เป็น 6.25% ขึ้นมา +3.0% ตามจังหวะที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย อย่างสอดประสาน

แบงก์อื่น ๆ เช่น Bank of America หรือ Well Fargo Bank ก็ปรับขึ้น 5 ครั้ง ในจังหวะและอัตราเดียวกัน

กอบศักดิ์63631

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ปกติแล้วธนาคารพาณิชย์ จะคอยดูสัญญาณจาก ธนาคารกลาง ว่าต้องการให้ดอกเบี้ยในประเทศปรับเปลี่ยนไปในทิศทางไหน และจะดำเนินการตามที่ธนาคารกลางส่งทิศทางมา

ทั้งนี้ เนื่องจากแบงก์พาณิชย์แต่ละแบงค์ เป็นแค่ส่วนเดียวของเศรษฐกิจ คงยากที่จะฝืนทิศทางของธนาคารกลางได้

เพราะสัญญาณและนโยบายจากธนาคารกลาง จะกระทบไปทุกส่วนของตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรที่จะเป็นตลาดแรกที่ปรับทันที ส่วนธนาคารพาณิชย์ อาจจะใช้เวลา อาจจะรอได้บ้าง ในช่วงสั้น ๆ

แต่เมื่อธนาคารกลางปรับดอกเบี้ยไปต่อเนื่อง ในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดอกเบี้ยในระบบ เริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้น ธนาคารพาณิชย์ก็จะต้องปรับตาม ในท้ายที่สุดเช่นกัน

ซึ่งการปรับดอกเบี้ยตามดังกล่าว จะช่วยให้นโยบายของธนาคารกลาง สามารถส่งผ่านไปยังภาคธุรกิจ ในทิศทางที่ธนาคารกลางต้องการ

สำหรับประเทศไทย หลังแบงก์ชาติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมา 2 ครั้ง +0.5% และคงปรับขึ้นไปต่ออีกระยะ

การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์กำลังเริ่มขึ้นเช่นกัน ส่งผลต่อดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในประเภทต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยในกระบวนการดูแลเงินเฟ้อของแบงก์ชาติ

ดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น จะจูงใจให้คนลงทุน และกู้ยืมน้อยลง

ดอกเบี้ยเงินฝากที่เพิ่มขึ้น จะจูงใจให้คนฝากเงิน ใช้จ่ายน้อยลงเช่นกัน

ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมใช้จ่ายลดลง ลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ

โดยกระบวนการนี้ จะเริ่มชะลอและหยุดลง ก็ต่อเมื่อแบงก์ชาติซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทางดอกเบี้ย จบรอบของการขึ้นดอกเบี้ย

หมายความว่า ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ในไทย ยังจะเดินหน้าไปอีกระยะ ส่งผลกระทบต่อดอกเบี้ยเงินกู้แบบต่าง ๆ ให้เพิ่มขึ้น

shutterstock 1740926591

สินเชื่อบ้านแบบคงที่ 2-3 ปี ดอกต่ำ ๆ ก็แทบหาไม่ได้ในขณะนี้ ต่างจากช่วงก่อนหน้า ซึ่งเราทุกคนคงต้องระวังเรื่องการสร้างหนี้ ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น นี้

ยิ่งเศรษฐกิจโลกกำลังอ่อนลง บริษัทต่าง ๆ คงต้องคิดเรื่อง สภาพคล่อง ดูแลกระแสเงินสด ฐานะการเงินให้ดี
อะไรไม่จำเป็นก็คงต้องผลักออกไปก่อน เพื่อให้เราสามารถผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าไปได้

ส่วนผู้ฝากเงิน ที่ต้องรับกับดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ ๆ มานาน ต่อไปก็จะได้ดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้นต่อไป

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ลองดู เนื่องจากแบงก์ชาติไทยคงปรับขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ และปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป จากเงินเฟ้อพื้นฐานของเรายังไม่สูงมากนัก จากเศรษฐกิจเราที่ฟื้นตัวช้ากว่าเขา และจากครัวเรือนส่วนหนึ่งเปราะบาง มีหนี้มาก

ทั้งนี้ การที่แบงก์ชาติไทย จะขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ขึ้นไปที่ 1.25%-2.0% แล้วดูสถานการณ์โลกว่าเป็นอย่างไร กระทบกับไทยมากน้อยแค่ไหน

เรื่องนี้จะทำให้ดอกเบี้ยประเภทต่าง ๆ ในไทย ปรับขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าประเทศอื่น ๆ เช่นกัน

ซึ่งช่วงนี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว การขึ้นดอกเบี้ยไปไม่มาก น่าจะดีกว่า ครับ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo