ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จับสัญญาณค่าเงินบาท ชี้ “เฟด” ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ทำเงินเอเชียเจอแรงเทขาย ทุบเงินบาทอ่อนค่าสูงสุดรอบ 16 ปีครั้งใหม่ ที่ 37.37 บาท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์สถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในเอเชีย โดยชี้ว่า การที่สกุลเงินเอเชีย รวมถึง เงินบาท ของไทย อ่อนค่าเกือบทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงสาเหตุหลักว่า มาจากเรื่องของเงินดอลลาร์ ที่แข็งค่าขึ้นอย่างมาก ตามจังหวะการคุมเข้มนโยบายการเงินแบบแข็งกร้าวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
การอ่อนค่าของเงินบาท ที่สอดคล้องกับสกุลเงินในเอเชีย เป็นตัวบ่งชี้ว่า ชนวนสำคัญของแรงกดดันด้านอ่อนค่านั้น มาจากเรื่องของเงินดอลลาร์ ที่แข็งค่าอย่างมาก แตกต่างจากในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งมีที่มาจากปัญหาเรื้อรังของเศรษฐกิจภายใน
ล่าสุด เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 16 ปีครั้งใหม่ เคลื่อนไหวอยู่ที่บริเวณ 37.37 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 37.15 บาทต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี ภาพรวมการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทนับตั้งแต่ต้นปี 2565 ยังคงเป็นทิศทางที่สอดคล้อง และเกาะกลุ่มไปกับทิศทางค่าเงินหยวน และสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยเงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ เป็นอันดับ 5 ในเอเชีย ตามหลังเงินเยนญี่ปุ่น เงินวอนเกาหลีใต้ เงินเปโซฟิลิปปินส์ และเงินดอลลาร์ไต้หวัน
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินเอเชียในภาพรวมในปีนี้ มีสาเหตุสำคัญมาจากความไม่แน่นอนของจังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ที่ปรับเปลี่ยนเร็วในระหว่างรอบการประชุม มากกว่าปัจจัยทางด้านปัญหาเศรษฐกิจ
ขณะที่ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในเวลานี้กำลังอยู่ในช่วงของการเริ่มทยอยฟื้นตัวขึ้น ดังนั้น สถานการณ์เงินบาทในปัจจุบัน จึงแตกต่างไปจากสถานการณ์ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ที่ผ่านมา ในช่วงเวลานั้นเศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหาเรื้อรังจ ากความไม่สมดุลหลายด้านพร้อมกันและต้องใช้เวลานานกว่าที่จะคลี่คลายลง
นอกจากนี้ เข้าใจว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงติดตามสถานการณ์ของเงินบาทอย่างใกล้ชิด และใช้เครื่องมือที่เหมาะสมอย่างระมัดระวัง เพื่อดูแลเสถียรภาพของค่าเงิน
อย่างไรก็ดี หากต่อภาพไปในช่วงที่เหลือของปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เงินบาทยังคงมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบที่ผันผวน ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังและควรเลือกใช้เครื่องมือ เช่น สัญญาฟอร์เวิร์ด หรือออปชัน เพื่อปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
เพราะคงต้องยอมรับว่า ตลาดการเงินยังคงต้องใช้เวลาอีกระยะในการติดตามสถานการณ์เงินเฟ้อ และประเด็นแวดล้อมอื่นๆ ของสหรัฐ เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอที่จะตกผลึกมุมมองในเรื่องดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ทั้งในเรื่องแนวโน้มและจุดสิ้นสุดของวัฏจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ได้อย่างชัดเจน
หากมุมมองในเรื่องแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดมีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว ก็น่าจะช่วยให้ แรงกดดันด้านอ่อนค่าที่มีต่อเงินบาท และสกุลเงินอื่นในภูมิภาคทยอยคลี่คลายลงไปได้ตามลำดับ
โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางเงินดอลลาร์ ที่แข็งค่าตอบรับผลการประชุม และสัญญาณคุมเข้มของเฟด สถานการณ์ฟันด์โฟลว์ รวมถึงการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลายประเทศ หรือดินแดน ทั้ง ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน สวิตเซอร์แลนด์ และอังกฤษ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘นฤมล’ ส่งสัญญาณเงินบาทอ่อนค่า แนะรัฐบาลเร่งช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็ก
- ‘รมว.คลัง’ เตรียมถก ‘แบงก์ชาติ’ ประเมินสถานการณ์เงินบาทอ่อนค่า
- ‘นฤมล’ ชี้ ‘เงินบาท-สถาบันการเงิน’ ไทย ยังดีอยู่ ไร้แววซ้ำรอย ‘วิกฤติต้มยำกุ้ง ‘