กรมสรรพากรเตรียมปรับลดสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีคนรวย เพิ่มสิทธิประโยชน์ลดหย่อนให้ผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อยให้มากขึ้น เพื่อสร้างความเป็นธรรม ชี้คนที่รวยในกลุ่ม 20% แรก ได้ประโยชน์ถึง 90% ของค่าลดหย่อนที่รัฐให้
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า หนึ่งในแผนการปฏิรูปโครงสร้างภาษี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ คือ การปรับปรุงค่าลดหย่อนทางภาษี
แนวทางการลดหย่อนนั้น จะให้น้ำหนักการลดหย่อน เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อคนรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อยมากขึ้น และจะตัดสิทธิ์ประโยชน์ของคนรายได้สูงให้เหลือน้อยลง
เนื่องจาก ปัจจุบันค่าลดหย่อนทางภาษี ที่กรมสรรพากรให้กับผู้เสียภาษีนั้น มีความเหลื่อมล้ำ ระหว่างคนรายได้สูง กับคนรายได้ปานกลาง ถึงรายได้น้อยมาก โดยคนที่รวยในกลุ่ม 20% แรก ได้ใช้ประโยชน์จากค่าลดหย่อนที่รัฐให้อย่างเต็มที่ หรือราว 80-90% ของค่าลดหย่อนที่รัฐให้ ขณะที่ คนรายปานกลางถึงรายได้น้อย ยังใช้ประโยชน์ไม่มากเท่าที่ควร
สำหรับแนวทางการปรับลดค่าลดหย่อนดังกล่าวนั้น คาดว่าจะทำให้กรมสรรพากรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยจะใช้หลักคิด คล้ายกับกรณีที่กรมสรรพากร ได้ยกเลิกการให้ค่าลดหย่อนทางภาษีแก่เงินที่ลงทุนใน LTF โดยกำหนดว่า ให้สามารถนำค่าลงทุนใน LTF มาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปีต่อคน
เงื่อนไขนี้ คนที่รายได้สูงจะได้รับประโยชน์มากกว่าคนรายได้น้อย เนื่องจาก 15% ของคนรายได้สูง จะมากกว่า 15% ของคนรายได้ปานกลางถึงต่ำ ดังนั้น กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากร จึงได้ยกเลิกสิทธิประโยชน์ในค่าลดหย่อน ที่ให้กับการลงทุนใน LTF
รายได้ปานกลาง-น้อย ลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน ก็จัดตั้งกองทุนเพื่อลดหย่อนทางภาษี ที่เรียกว่า Super Savings Fund โดยให้สามารถนำเงินที่ลงทุนใน SSF มาหักลดหย่อนทางภาษีได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ทำให้คนรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อย ที่ต้องการลงทุนเพื่อนำมาหักลดหย่อน ได้รับค่าลดหย่อนที่สูงขึ้น แต่เพดานไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เกินความสามารถของคนรายได้ปานกลาง ขณะที่คนรายได้สูงก็ได้รับผลประโยชน์ลดลง เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ทีได้จาก LTF ในอดีต
ทั้งนี้ ค่าลดหย่อนทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีอยู่หลายรายการ เช่น การนำรายจ่ายเพื่อการลงทุนใน RMF มาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี เงินการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือ Provident fund นำมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี (โดยหากผู้เสียภาษีมีการลงทุนทั้ง RMF และ Provident Fund เมื่อรวมวงเงินที่จะนำมาหักลดหย่อนแล้วจะต้องไม่เกิน 500,000 บาท)
นอกจากนี้ ยังมีเงินที่จ่ายเพื่อซื้อประกันชีวิตที่มีอายุกรมธรรม์ 10 ปีขึ้นไป สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
อ่านข่าวเพิ่มเติม