เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง ร่วมกับ ลอมบาร์ด โอเดียร์ ผู้ให้บริการบริหารความมั่งคั่งระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมพันธมิตรทางธุรกิจอีก 5 ราย ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค จัดสัมมนาออนไลน์แห่งปีในหัวข้อ “The Race to Net Zero: A Sprint or a Marathon” หวังจุดกระแสให้เกิดการพูดคุยเรื่องความยั่งยืน ดึง “บัน คี มุน” อดีตเลขาธิการยูเอ็นร่วมหารือในงานสัมมนาลดภาวะโลกร้อน
นายบัน คี มุน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ร่วมแสดงปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานกับยูเอ็น และแนวทางในการผลักดันประเด็นความยั่งยืน ให้เป็นวาระหลักของหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก
ผลงานที่สำคัญของนายบัน ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการยูเอ็น ได้แก่ ความตกลงปารีสเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Climate Agreement) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals)
นายบัน กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในวิถีที่ส่งผลให้วิกฤติสภาพภูมิอากาศโลกเลวร้ายลง ตามรายงานสภาพอากาศของ UN IPCC ฉบับล่าสุด ได้ฉายภาพแห่งความโหดร้ายให้เห็นว่า วิกฤตินี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้
“ข้อตกลงปารีสถือเป็นความหวังที่ดีที่สุด ในการรับมือกับภัยคุกคามจากสภาพอากาศที่รุนแรง และสถาบันการเงินชั้นนำ อย่าง ลอมบาร์ด โอเดียร์ และทุกภาคส่วนของพันธมิตรทางธุรกิจในภูมิภาคนี้ต่างมีบทบาทสำคัญในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเร่งและผลักดันให้เกิดการดำเนินงานตามข้อตกลงดังกล่าวด้วยเช่นกัน”
ทางด้านนายฮูเบิร์ต เคลเลอร์ Senior Managing Partner ลอมบาร์ด โอเดียร์ กล่าวว่า ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงมีต่อไป ความเสี่ยงด้านการเงินต่อความท้าทายในช่วงเปลี่ยนผ่าน ความเสี่ยงทางกายภาพ และความเสี่ยงด้านหนี้สิน ก็กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น
“เรานิยามสิ่งนี้ว่า ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในฐานะผู้จัดการสินทรัพย์ สิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของหลักความไว้วางใจ เพื่อช่วยนำทางลูกค้า ไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจ ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เรายังได้ช่วยนักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุน ด้วยการประเมินสถานการณ์ในอนาคต ซึ่งรวมไปถึงความเข้าใจเกี่ยวกับเส้นทาง และวิถีการใช้พลังงานที่ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และความเกี่ยวพันทางการเงิน”
ขณะที่ นายวินเซนต์ มาเนียนาต์ Limited Partner and Chief Executive Officer, Asia ลอมบาร์ด โอเดียร์ ระบุว่า บริษัทตระหนักถึงความท้าทายต่าง ๆ ที่หลายประเทศในเอเชียต้องเผชิญ ในการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจ ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และเศรษฐกิจแบบ CLICTM ประกอบด้วย
- C (Circular) การใช้ทรัพยากรหมุนเวียน
- L (Lean) การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
- I (Inclusive) การสร้างความเท่าเทียมด้านเศรษฐกิจและสังคม
- C (Clean) การดำเนินการที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งหมด เป็นรากฐานที่สำคัญในพันธกิจ และวิสัยทัศน์ของลอมบาร์ด โอเดียร์ ในช่วงเวลาที่ กำลังก้าวสู่การปฏิวัติเพื่อความยั่งยืน ซึ่งบริษัทเชื่อว่า สถาบันการเงิน และลูกค้าของธนาคาร มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ส่งเสริม และสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ลอมบาร์ด โอเดียร์ พร้อมด้วยเครือข่ายพันธมิตรทางกลยุทธ์ในภูมิภาคทั้ง 6 ราย มีความยินดีที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างความตระหนักรู้ในระดับภูมิภาค นำโดย นายบัน คี มุน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนในประเด็นความยั่งยืน และโอกาสในการลงทุนเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เช่นเดียวกับลอมบาร์ด โอเดียร์ และพันธมิตรอีก 5 ราย เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้งเชื่อว่า เราสามารถดำเนินธุรกิจให้สอดคล้อง และเป็นส่วนหนึ่ง ในการช่วยผลักดันสังคม และประเทศให้มีความก้าวหน้า ยั่งยืน และเป็นสุข
“เราเชื่อว่าความยั่งยืน คือ อนาคตของทุกคนบนโลก เราทุกคนมีความรับผิดชอบ ที่จะช่วยขับเคลื่อนสังคม และประเทศชาติ ไปสู่ความก้าวหน้า บนพื้นฐานของความยั่งยืนในทุกวิถีทาง ที่เราสามารถทำได้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อมถือเป็นวิกฤติครั้งใหญ่ของโลก และทุกภาคส่วนต้องทำงานร่วมกัน”
“เราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของภาคการลงทุน จึงได้พยามผลักดันเรื่องความยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการนำเสนอกองทุนที่มุ่งเน้นให้เกิดผลกระทบที่ดีและกองทุนเพื่อความยั่งยืนระดับโลกที่สร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เราเชื่อว่านักลงทุนสามารถสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนเพื่อสร้างความยั่งยืนได้ และนี่คือความเชื่อมั่นของเรานับจากบัดนี้และต่อไป”
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘KBank Private Banking’ ชี้โอกาสลงทุน ‘ตราสารหนี้เอเชีย’ ผ่านกองทุน ‘K-APB’
- ‘KBank Private Banking’ สานต่อกลยุทธ์ ‘ลงทุนยั่งยืน’
- ‘เคแบงก์ ไพรเวท แบงกิ้ง’ ปลื้มธุรกิจ ‘ที่ปรึกษาอสังหา’ มาแรง ตั้งเป้าปี 64 สร้างผลตอบแทน 6%
