ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินในปี 2564 ความต้องการสภาพคล่องในระบบการเงินเร่งตัวขึ้น ตากความต้องการทั้งภาครัฐและเอกชน ขณะที่ผลกระทบโควิด-19 ยาวนานข้ามปี
“ปริมาณสภาพคล่อง” ตามแหล่งที่มาในปี 2564 โดยความต้องการใช้สภาพคล่องของภาครัฐและภาคเอกชน ประเมินจากองค์ประกอบ 2 ส่วน ได้แก่
1) แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของปริมาณสินเชื่อสุทธิในระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศและ• สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งเป็นแหล่งเงินกู้ที่สำคัญของภาครัฐ ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนไทย และ
2) แนวโน้มการออกตราสารหนี้ของภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งในส่วนของตราสารหนี้ภาครัฐ เงนับรวมทั้งพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตราสารระยะสั้น เช่น ตั๋วเงินคลัง ซึ่งกระทรวงการคลังวางแผนออกเพิ่มขึ้น ทดแทนพันธบัตรระยะสั้นของธปท. รุ่นอายุ 6 เดือน และอายุ 2 สัปดาห์ ที่ธปท. ยกเลิกการออกในปี 2564 เพื่อลดความแออัดของปริมาณพันธบัตรระยะสั้นในตลาด และเพื่อให้แนวทางการออกพันธบัตรในภาพรวมของภาครัฐ ทั้งรัฐบาลและธปท. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกัน
สำหรับแหล่งที่มาของสภาพคล่องในระบบนั้น ประเมินจาก 2 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) สถานะดุลบัญชีเดินสะพัดและเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งจะเป็นตัวสะท้อนสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจากการไหลเข้าสุทธิของเงินตราต่างประเทศ และ 2) ปริมาณตราสารหนี้รัฐบาลและหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ครบกำหนดไถ่ถอนในระหว่างปี ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของการคืนเม็ดเงินหรือสภาพคล่องกลับมายังผู้ที่ถือตราสารหนี้ดังกล่าว
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ปริมาณสภาพคล่องในปี 2564 มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับปริมาณสภาพคล่องปี 2563 ที่ผ่านมา โดยแม้ในปี 2564 จะมีแรงหนุนสภาพคล่องจากปริมาณตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนที่น่าจะถูกไถ่ถอนเพิ่มขึ้น
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีปัจจัยกดดันสภาพคล่องจากสถานการณ์โควิด 19 ที่ยืดเยื้อทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของรายได้ในภาคการท่องเที่ยวและเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ ซึ่งทำให้สุดท้ายแล้ว แนวโน้มดุลบัญชีเดินสะพัดและเงินทุนเคลื่อนย้ายของไทยในปี 2564 อ่อนแอลงเมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ผ่านมา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า แม้ในปี 2564 นี้ จะมีความต้องการใช้สภาพคล่องส่วนเกินอยู่ประมาณ 1.46 ล้านล้านบาท (เป็นผลต่างระหว่างความต้องการใช้สภาพคล่อง กับแหล่งที่มาของสภาพคล่อง) เทียบกับปี 2563 ที่ประมาณ 1.38 ล้านบาท
แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ปัจจัยความต้องการใช้สภาพคล่องส่วนเกินนี้ ยังอยู่ในวิสัยที่บริหารจัดการได้ และคงไม่กดดันให้ผลตอบแทนหรืออัตราดอกเบี้ยตลาดพุ่งขึ้นจนถึงขั้นกระทบการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะที่เหลือของปี เนื่องจากยังสามารถใช้เครื่องมือของทางการ และนำสภาพคล่องสะสมจากส่วนอื่นๆ ในระบบมาบริหารจัดการได้ ประกอบกับคาดว่า สถานการณ์ในครึ่งหลังของปี 2564 น่าจะมีแรงกดดันน้อยลง เนื่องจาก
- คาดการณ์ว่า แรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัดน่าจะลดน้อยลงในครึ่งปีหลัง และอาจเริ่มกลับมามียอดเกินดุลได้ในระดับหนึ่ง หากมีความคืบหน้าในโครงการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในบางพื้นที่
- ธปท. ยังคงมีกลไก/เครื่องมือที่สามารถดูแลปริมาณสภาพคล่องโดยรวมในระบบให้อยู่ในระดับที่เพียงพอกับความต้องการ โดยธปท. ยังมีพันธบัตรธปท. ที่กำลังจะครบกำหนดในช่วงที่เหลือของปี 2564 อีกประมาณ 1.63 ล้านล้านบาท ซึ่งสามารถทยอยปล่อยให้พันธบัตรธปท. ไถ่ถอนเพื่อเติมเม็ดเงินสภาพคล่องกลับไปให้กับผู้ถือพันธบัตรธปท. ซึ่งเม็ดเงินในส่วนนี้ก็จะถูกใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจต่อไป นอกจากนี้ ธปท. ยังเริ่มชะลอวงเงินการออกพันธบัตรใหม่บางรุ่นตามแนวทางที่มีการประกาศไว้เมื่อปลายปี 2563 เพื่อช่วยลดความแออัดของของปริมาณพันธบัตรภาครัฐที่จะออกใหม่ในปีนี้ด้วยเช่นกัน
- กระทรวงการคลังสามารถปรับใช้เครื่องมือระดมทุนที่หลากหลาย (ทั้งตั๋วเงินคลัง ตั๋วสัญญาใช้เงิน การกู้เงินระยะยาว และการออกพันธบัตร) และสามารถจัดสรรวงเงินและปรับจังหวะเวลาการกู้เงินผ่านแต่ละเครื่องมือเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อตลาดในภาพรวมได้
- ยอดคงค้างสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ยังคงอยู่ในระดับสูง ที่ 5.06 ล้านล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ ประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท เป็นสินทรัพย์สภาพคล่องส่วนที่เกินจากที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ขั้นต่ำของธปท.
- แม้ประเด็นด้านสภาพคล่องยังอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถบริหารจัดการได้ อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมุมมองตามเดิมว่า ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจกดดันต้นทุนการระดมทุนผ่านตลาดพันธบัตรให้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในระยะที่เหลือของปี 2564 อาทิ ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่น่าจะขยับขึ้นตามสัญญาณเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ณ สิ้นปี 2564 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีอาจขยับสูงขึ้นไปที่กรอบ 1.70-2.10% (จากระดับ 1.28% ณ สิ้นปี 2563) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีอาจปรับตัวขึ้นไปที่กรอบ 0.50-0.90% (จากระดับ 0.39% ณ สิ้นปี 2563)
แนวโน้มขาขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรดังกล่าวย่อมจะส่งผลทำให้ต้นทุนการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนขยับสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทที่อันดับเครดิตต่ำกว่า A ลงไป
นอกจากนี้การที่เงินฝากของภาคธุรกิจและครัวเรือนมีการเติบโตในอัตราที่ชะลอลง ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นผลจากการทยอยใช้สภาพคล่องเพื่อประคองสถานการณ์ในช่วงที่โควิด 19 ยืดเยื้อกินเวลามาเกินกว่า 1 ปีแล้วนั้น คงมีผลกระทบต่อความต้องการลงทุนในตราสารหนี้บางประเภทด้วยเช่นกัน(จากข้อมูลล่าสุด จะเห็นว่า แม้ยอดคงค้างเงินฝากในระบบธพ. จดทะเบียนในประเทศเริ่มกลับมาไต่ระดับขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. 2564 คล้ายๆ กับช่วงการระบาดของโควิดระลอกแรก แต่ในรอบนี้ยอดคงค้างเงินฝากเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 1.2 แสนล้านบาทต่อเดือน ต่ำลงเมื่อเทียบกับภาพการขยับขึ้นของเงินฝากที่สูงถึงเกือบเดือนละ 5.0 แสนล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน)
ทิศทางดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรดังกล่าวจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะอิงกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงินและสภาพเศรษฐกิจไทยมากกว่า
อ่านข่าวเพิ่มเติม:
- จับตา! ‘กสิกรไทย’ จ่อปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ใหม่ มิ.ย. นี้
- ‘กสิกรไทย’ ชี้แจง ยังไม่ตัดสินใจ ซื้อธุรกิจ ‘ซิตี้กรุ๊ป’ ย้ำ อยู่ระหว่างการศึกษา
- ‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ มองทั่วโลกกำลังเผชิญความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อที่เร่งขึ้น